บทความพิเศษ

 

ประวัติศาสตร์นอกตำรา ตอน ซุนปิน (ตอนที่ 3)
17 พ.ค. 2558

 

 

อาจารย์แอน, ประวัติศาสตร์, โหราศาสตร์, ajarnann, ซุนปิน

 

 

        (ต่อ) ซุนปิน เมื่อเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของแคว้นฉีแล้ว ก็ไม่ลำพองใจ ยังคงเจียมเนื้อเจียมตน วางตนเป็นเพียงกุนซือที่ปรึกษา ไม่วางตัวเป็นขุนนางใหญ่

         ก่อนอื่น ขออธิบายสภาพแวดล้อมในยุคซุนปินก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนพุทธศาสนาก่อกำเนิดประมาณร้อยปี ประเทศจีนปกครองด้วยราชวงศ์โจว ใช้ระบบขุนศึก แบ่งออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจว แคว้นใหญ่ๆ มี แคว้น จ้าว เว่ย หาน เอี้ยน ซ่ง ฉิน ฉี ฉู่ อู๋ เย่ว ต่างก็ทำศึกขยายอำนาจขอบเขตการปกครองของตน เพื่อความมั่งคั่งของแคว้น โดยไม่เกรงใจกษัตริย์ราชวงศ์โจว

         แคว้นที่มีอำนาจมาก จะอุดมด้วยขุนศึกและที่ปรึกษาที่มีความสามารถ สำนักปรัชญาทางการเมือง เกิดขึ้นมากมายเพื่อผลิตชนชั้นผู้นำ และแคว้นฉี ก็เป็นหนึ่งแคว้นที่เข็มแข็ง แคว้นเว่ย อยู่ติดลำน้ำฮวงโห มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแคว้นใหญ่เช่นกัน เหมือนปลาอ้วนที่แคว้นอื่นหมายปอง ไม่ถูกกันกับแคว้นฉี มักชิงอำนาจกันอยู่เสมอ แคว้นจ้าว อุดมด้วยวัฒนธรรม ดนตรี โคลงกลอน และสาวงาม ก็เป็นที่ต้องการของแคว้นต่าง ๆ เพื่อเสริมกำลังตน

         รัฐเว่ย เป็นรัฐใหญ่จัดเป็นมหาอำนาจ คงจำได้ว่าผางเจวียนเกาะความเป็นใหญ่อย่างเหนียวแน่นและภาคภูมิใจ นโยบายของรัฐก็เป็นไปตามนิสัยของผางเจวียน เราดูนโยบายบริษัทก็พอรู้นิสัยผู้บริหารว่าน่ารักน่าชังเพียงไร อย่างรัฐเว่ย ชอบระรานรัฐอื่นเป็นประจำ ในที่สุดก็มอบหมายให้ ผางเจวียน ควบตำแหน่งที่ปรึกษาและแม่ทัพ กรีธาทัพโจมตีรัฐจ้าว ครั้งนั้นจ้าวอ๋อง ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากรัฐที่ใกล้ที่สุด ..รัฐฉี... ซึ่งเป็นมหาอำนาจเหมือนกัน ซ้ำเป็นคู่รักคู่แค้นดั้งเดิมของรัฐเว่ย

         ฉีเว่ยอ๋องเห็นสมควรส่งทหารไปช่วย เพราะถ้ารัฐเว่ยชนะศึก จะเป็นการขยายอำนาจและคุกคามรัฐฉีโดยตรง จึงปรึกษาซุนปิน และคิดตั้งซุนปินเป็นแม่ทัพ แต่ซุนปินไม่รับ ให้เหตุผลว่า แม่ทัพผู้พิการไม่สง่างามพอให้ทหารทั้งกองทัพเชื่อฟัง ขอเป็นเพียงเสนาธิการอยู่ในกองทัพก็พอ ฉีเว่ยอ๋องจึงให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ

         เถียนจี้ถูกชาตากับซุนปินอยู่แล้ว เพราะซุนปินมีบทเรียนแล้วว่าอยู่อย่างไรไม่ให้คนอิจฉา เถียนจี้ถามก่อน ตามประสาทหารเอาตรง ๆ เลย เดินทัพไปช่วยเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าวทันที  ซุนปินบอกว่าไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น เสียเวลา เสียเสบียง ทหารเดินทางไกลเหนื่อยเปล่า หันลูกศร มุ่งหน้าเดินทัพไปที่แคว้นเว่ยเลย ไปที่เมืองหลวง คือเมืองต้าเหลียง เพราะตอนนี้เมืองต้าเหลียง จะเหลือแต่คนแก่ สตรีและเด็ก เพราะหนุ่ม ๆ เดินทัพมาที่แคว้นจ้าวกันหมด เมื่อข่าวศึกเมืองต้าเหลียง แคว้นเว่ย ไปถึงทหารเว่ย ต้องรีบแจ้นกลับเมือง ถอยจากรัฐจ้าวมาทันที เราก็ถอยไม่ต้องรบ วิธีนี้ไม่เสียเลือดเนื้อเลย เถียนจี้เห็นชอบด้วย มุ่งหน้าไปเมืองต้าเหลียง แคว้นเว่ย ทันที

          ฝ่ายผางเจวียน กำลังเข้าตีเมืองหานตาน จะได้อยู่แล้ว ปรากฏว่ามีข่าวศึก ทหารฉีล้อมเมืองต้าเหลียง เมืองหลวงของเว่ย จำต้องสั่งถอนทัพกลับเมืองเว่ยทันที อย่างรีบร้อนด้วย ซุนปินให้เถียนจี้แยกกำลังไปซุ่มโจมตีระหว่างทาง ทั้งส่งข่าวไปที่แคว้นจ้าวว่า แคว้นฉีมาช่วยแล้วนะ พอเห็นพวกเว่ย ของผางเจวียนถอยทัพ ให้ตามตี

        มือชั้นนี้แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ผางเจวียน หลงกลถอยทัพ แล้วถูกพวกแคว้นจ้าวตามตี ผนวกกับทหารฉีที่แบ่งกำลังมาตีกระหนาบ ผางเจวียนเหลือทหารกลับเมืองเว่ย ไม่ถึงครึ่ง


          สงครามครั้งนี้มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ที่เรียกยุทธการครั้งนี้ว่า "ล้อมเว่ย ช่วยจ้าว" เราคงอ่านกันหลายรอบหน่อยตีความให้แตก เผื่อนำมาช่วยชีวิต แก้ไขเหตุการณ์คับขันของตน ใช้หลัก หาจุดอ่อนให้เจอแล้วโจมตีตรงนั้น ในสงครามขับเคี่ยวแต่ละยุค สังเกตให้ดี จะมีกลยุทธ์อย่างนี้แทรกอยู่ทุกครั้ง

         เสร็จศึกครั้งนี้ ผางเจวียน รู้ด้วยความเจ็บใจว่า กุนซือคนสำคัญของแคว้นฉี ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนแกล้งบ้า ศิษย์สำนักเดียวกัน เป็นการลองปัญญาครั้งแรกระหว่างคนทั้งสอง