คำคม..ข้อคิด

 

คำคม..ข้อคิด ๒
29 พ.ค. 2559

 

หลักข้อหนึ่งของ"เถาจูกง" เทพเจ้าแห่งการค้า คือการรอคอย และการตั้งต้นทำการค้าที่ประสพผลสำเร็จคือ ซื้อของถูก และเลือกทำเลที่เหมาะสม ขายไปในราคาที่ทุกคนพอใจ ไม่ใช่ราคาที่เราพอใจ เงินทุนที่มา ลงกับสินค้าไม่ใช่วัตถุตกแต่งร้าน และใช้สินค้านั้นเรียงจัดให้ดูน่าซื้อหา พร้อมทั้งให้ใจกับลูกค้าทุกคน คือความใส่ใจกับความต้องการของลูกค้า

 

เทพเจ้าแห่งการค้า "เถาจูกง" คือใครหรือ เขาคือ ฟ่านหลี ที่ลาออกจากเสนาบดีแห่งแคว้นเย่วของโกวเจี้ยน หนีไปกับไซซี ไปอยู่รัฐฉี เปลี่ยนชื่อแซ่ ใช้หลักพิชัยสงครามปรับประยุกต์สู่โลกแห่งการค้าขายจนร่ำรวย ได้รับการยกย่องจากชาวจีนว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งการค้า" ไงคะ .....เรื่องจากอ.แอน

 

 

ถ้าเรา"อยาก" ทุกข์ก็มารอเราแล้ว แต่เราก็ยัง"อยาก" เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องคิด ต้องทำให้สำเร็จ แม้มีคำคมมาเตือนใจ เราก็ชอบ สบายใจเหมือนกินยาคลายเครียด แล้วก็ผ่านหูไป และอยากคิด อยากทำ อยากเป็น ต่อไป เพราะจิตเรามันบังคับไม่ได้ ทีนี้ก็อย่าบ่น อย่าเครียดเวลามันไม่ได้ดังใจ เพราะเอาแค่รู้ล่วงหน้าก็พอว่า ทุกข์นั้นก็รอเราอยู่แล้ว และต้องรู้จริงๆว่ามันรออยู่ นั่นแหละที่เรียกว่า "รู้เท่าทัน" แล้ว คราวนี้ที่ว่าทุกข์นั้นมันก็บรรเทาลง และเราก็ซึ้งใจว่า ทุกข์ที่แท้อยู่ที่ใจของเราเอง จาก อ.แอน .. ผู้เคยทุกข์ เข้าใจทุกข์ รู้ทุกข์และก็ยังมีทุกข์ต่อไป

 

 

เคยอิจฉาใครไหมคะ เคยริษยาอยากได้ อยากเป็น อย่างเขาไหม อยากสวย อยากหล่อ อยากมีแฟนตามที่ฝัน อยากเรียนเก่ง อยากรวย อยากมีพร้อมทุกอย่าง เอ้า เราให้ตามที่หวัง แต่ต้องแลกกับ อายุ และสุขภาพ ที่ทอนสั้นลง หรือ อยากสุขภาพดี แต่หล่อ สวย น้อยลง อยากรวยมาก แต่แฟนเรา สวย หล่อ ไม่เท่าเขา สังเกตไหม มีใครพร้อมบ้าง ฉะนั้นถ้าเราอิจฉาใครมากๆ ก็จงมองในสิ่งที่เขาไม่มี และหันมาดูว่าเรามีอะไรที่คนอื่นเขาไม่มี นั่นแหละ คือสิ่งที่มาจากผลแห่งบุญและกรรม ซึ่งเกิดมาแล้วก็ติดตัวเรามาพร้อมๆกัน ถ้าถึงพร้อม มีทุกอย่างครบถ้วน ไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป นั่นก็คือไม่รู้จะกลับมาเกิดอีกทำไม เพราะมีครบแล้วไม่ต้องเกิดมาไขว่คว้าหาอะไรที่พร้อมมูลอีก คิดได้ก็เย็นลงแล้วล่ะค่ะ .....อ.แอน

 

 

เมื่อเราได้รับการตำหนิติเตียน จงคิดก่อนว่าผู้ตำหนิติเตียน หรือด่าว่าเรานั้น เป็นบัญฑิตหรือคนพาล และคิดว่าหากทำตามบุคคลผู้ตำหนิแล้วเกิดประโยชน์เพียงเฉพาะตัวเขาเองหรือเป็นเพียงความโอ้อวดแสดงอำนาจของบุคคลนั้น เราก็วางเฉยไม่โต้ตอบ ไม่คิด ไม่โกรธ ไม่น้อยใจ เพราะไม่เกิดประโยชน์และเสียเวลา แต่ถ้าคำติเตียนนั้นเป็นของบัณฑิตผู้รู้ ทำตามแล้วเกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งสร้างระบบระเบียบให้เกิดขึ้นในสังคม อย่างนั้นก็ไม่พึงโกรธเช่นกัน ควรจดจำกระทำตาม เพราะคนที่จะได้รับผลดีมากที่สุดคือคนที่ตามคำบัณฑิตโดยเคร่งครัด ทั้งเป็นผู้ที่อยู่ในมงคล 38 ประการย่อมถึงความเจริญ ไม่มีวันเสื่อม ......จาก อ.แอน

 

 

เรามักมีคำว่า "ขี้เกียจทำ" มากที่สุดในชีวิตประจำ ยิ่งถ้าไม่อยู่ในกลุ่มตัวเอง หรือคนที่ตัวเองถูกใจ ก็จะเพิ่มคำว่า "ขี้เกียจยุ่ง" และ "ขี้เกียจพูด" แถมมีสีหน้าแบบ ไม่สนใจ ตามมา รู้ตัวไหมว่า เรากำลังทำลายมิตร ทำลายผู้อุปถัมภ์ ซึ่งอาจต้องพึ่งพากันในอนาคต รอบๆตัวเรา บุคคลทั้งหลายคือญาติ แม้ว่าจะมีญาติไม่รักดี ก็คือญาติ ใช่ไหม อย่าทำให้คนที่อยู่ใกล้ตัวเราหรือเผอิญได้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนเกิน เพราะนั่นไม่ใช่การกระทำของผู้ที่จะมีแต่ความเจริญเลย

 

 

เป็นบ่อยนะคะ ที่รู้สึกว่าชามข้าวคนอื่นดีกว่าของเรา ความหมายคือ ทุกอย่างของคนอื่นมันดีกว่าของเรา ทั้งนี้เพราะตาเราคู่นี้แหละที่มองออกไปข้างนอก ซึ่งอันนี้ปกติค่ะ ไม่มีใครที่ไหนตากลับมองย้อนมา แต่ใจซีคะอย่าไปตามตา ตาที่มองออกไปมีแต่สายตาชื่นชม หรืออาจจะอยากบ้างที่จะมีให้ได้เหมือนเขา บางทีก็นึกเปรียบเทียบบ้างว่า ทำไมเราไม่เหมือนเขา ตามประสาปุถุชน แล้วเราก็หยุดความคิดไว้แค่นั้น ต่อไปคือย้อนกลับมาสำรวจตนเองว่า เรามีอะไรที่ทำให้รู้สึกดี ถ้าไม่มีก็ต้องทำให้มันมี พูดง่ายๆคือ เห็นอะไร เห็นใครดี ฝึกเอามาไว้กับตัวเองให้หมด ทั้งเลือกคบคนหรือคบแต่บัณฑิต ที่จะนำแต่ความเจริญมาสู่เรา ในที่สุด เราก็จะรู้สึกอิ่มกับชามข้าวของเรา ไม่เห็นชามไหนดีกว่าอีกเลย คือความเชื่อมั่นในตัวเองที่จะนำพาให้ประสบผลสำเร็จในชีวิต ทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองอีกด้วย

 

 

เมื่อเรารู้สึกว่า เรากำลังสูญเสียอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เราต้องไม่เสียเลย คือความเป็นตัวเอง และต้องไม่มีวันที่จะสูญเสียมันไป เพราะจะเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรากลับมามีทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนเด็กน้อยที่ล้มแล้วลุกขึ้นยืนได้ แล้วก็ยังเดินต่อและก็ยังเติบโตขึ้นด้วย เราก็เช่นเดียวกันถึงล้มก็ลุกขึ้นเดินได้ แล้วก็เรียนรู้ที่จะไม่สูญเสีย ทั้งไม่ล้มเมื่อสูญเสีย นั่นคือคนที่เข้มแข้งอย่างแท้จริง

 

 

ช่วงนี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อของใครหลายคน ที่ต้องจัดการกับตัวเองให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง มันคือชีวิตของเราอีกแบบที่ไม่ต้องการการเปรียบเทียบใดๆ  ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบกับใครแม้แต่กับอดีตของตัวเอง มีเพียงทำให้ดีที่สุดสำหรับวันนี้ บวกกับความเพียรเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดี ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เราจะพบกับสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน ไม่มีใครตกต่ำเพราะการปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์ บางครั้งเราก็ต้องมีเหตุที่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อที่จะได้บางสิ่งบางอย่างมาและดีกว่าอย่างคาดไม่ถึง เป็นกำลังใจให้เข้มแข็งสำหรับทุกคนที่พบกับความเปลี่ยนแปลงค่ะ.....อ.แอน

 

 

ในโลกนี้ ไม่เคยมีใครคิดว่าเราเป็นเพียงธุลี ไม่มีใครสนใจกับฝุ่นธุลีอย่างเรา ลองคิดอย่างนี้ดูบ้าง เพราะตัวเรามักจะคิดเสมอว่าเราคือ ใครคนหนึ่ง เราคือคนที่ทุกคนมองดูและสนใจ เราจึงมีความกลัวลึกๆว่า ใครเขาจะมองเรายังไง เราจะกังวลจนขาดความคิดที่เป็นของเราแท้ๆ ทั้งขาดความมั่นใจ กลัวคนนินทา คิดเสียว่า ถ้าเขาจะนินทาว่าร้าย เขาก็นินทา แต่นานไป เรามิใช่บุคคลสำคัญจนเขาต้องตามดูเพื่อนินทาตลอดไปในชีวิตนี้ ทิ้งไปเสียที่ว่า "เดี๋ยวคนเขาว่า" เพราะตัวเราคือธุลีไม่สำคัญอะไร อยากพูดอะไรก็พูดไป ส่วนคนที่เขารักเรา อย่างไรเขาก็รัก เป็นธุลีเขาก็รัก จริงไหมคะ .....ด้วยความห่วงใยจากอ.แอน

 

 

อย่าไปเข้าใจผิดกลายเป็นเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจ ดูซิ เราคือธุลีหนึ่งในโลกนี้ มันคนละความหมายกัน คำว่าเราคือธุลีนึงคือความของการไม่ยึดตัวตนหรือยกตัวว่าดีเด่น เป็นคนสำคัญ เป็นความรู้สึกเบื้องต้นของความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่คิดว่าเราสำคัญอะไรที่ใครจะมาวุ่นวายนินทาว่าร้าย เพราะเราจะได้ไม่ตระหนกตกตื่นหรือสนใจคำคนจนเกินไป ทั้งเป็นการเพาะนิสัยของความไม่มีตัวตน และไม่เครียดที่จะคอยแก้ตัวกับคำคนด้วย จิตจะผ่อนคลายเพราะเรารู้จักวิธีคิด

 

 

ฮวงจุ้ยโชคลาภ, บ้านกับฮวงจุ้ย, จัดบ้านเสริมฮวงจุ้ย, ฮวงจุ้ยเตียงนอน