ความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์

 

การสะเดาะเคราะห์คืออะไร ตอนที่ ๒
5 พ.ย. 2560

 

หากว่าเราพูดอะไรแล้วไม่มีใครรับฟัง พูดแล้วไม่มีใครเชื่อ พูดอะไรก็ไม่หนักแน่น พูดอะไรไปคนก็เข้าใจผิด เป็นผลของมุสาวาท เราเคยผิดข้อนี้มา ไม่ว่าจะเป็นอดีตตอนนี้หรือในอดีตกาลมาแล้ว ซึ่งข้อนี้เจอกันมากเพราะว่าทุกคนต่างก็เคยมุสามาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่เคยมีใครไปสะเดาะเคราะห์เรื่องนี้ เพียงแต่ว่ามันทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ หากว่ามันไปผนวกกับเคราะห์อื่นๆ ที่ค่อนข้างร้ายแรง เราก็จะรู้สึกว่าทุกข์ขนาดนี้ พูดอะไร ขอความช่วยเหลือใคร เขาก็ไม่เชื่อเรา ไม่เชื่อว่าเรานั้นลำบากขนาดนี้

 

หากว่าเราจะไปสะเดาะเคราะห์ข้อนี้ ก็คือฝึกเป็นคนมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น พูดอะไรไว้ก็ต้องทำให้ได้ ถือสัจจะ หากทำเช่นนี้เมื่อเราออกปากกับใครเขา เขาต้องช่วยเรา เพราะว่าเขาเชื่อถือเรา สะเดาะเคราะห์แบบนี้เป็นการสะเดาะเคราะห์ระยะยาว แต่หากว่าเดือดร้อนแล้วไปเพียงรดน้ำมนต์ บังสกุลเป็น บังสกุลตาย แต่ว่ายังไม่มีสัจจะเหมือนเดิม พูดอะไรไปใครเขาก็ไม่เชื่อเหมือนเดิม ต้องแก้ที่นิสัย

 

หากว่าเราปวดหัวปวดประสาทเป็นผลมาจากโทษของการดื่มสุราเมรัย ทำอะไรขี้หลงขี้ลืม ได้หน้าลืมหลัง หกล้มหัวฟาดสติสตังไม่ค่อยดี ประสาทไม่ค่อยดี หรือว่าลูกหลานของเราประสบอุบัติเหตุนอนอยู่แบบชนิดที่ลืมไปเลย การสะเดาะเคราะห์ที่ดีที่สุดต้องทำมาตั้งแต่ต้น คือการละสุราโดยเด็ดขาด ศีลข้อนี้ต้องไม่ผิดเลย ช่วยเหลือคนและหมั่นฝึกสมาธิ ก็เท่ากับเป็นการสะเดาะเคราะห์ หากว่าเรามีเหตุที่ต้องหกล้มหัวฟาดก็จะไม่เป็นถึงขนาดที่จำอะไรไม่ได้ หรือหากว่าจำอะไรไม่ได้ สักพักความจำก็จะคืนมา เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา มันจะเป็นอัตโนมัติ มันจะดีขึ้นมาเอง เกิดความเคยชินที่จะคืนสติอย่างรวดเร็ว ชินก็คือฌาณนั่นเอง

 

การบังสกุลเป็นบังสกุลตายนี้เหมือนเกิดใหม่ เหมือนกับเป็นการสร้างดวงขึ้นมาใหม่ได้ก็จริง แต่ถ้าไม่เปลี่ยนนิสัย เคราะห์กรรมก็ยังเหมือนเดิม ก็ยังตามมาเหมือนเดิม หากได้ปฏิบัติตนตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ระมัดระวังตนเองมาตั้งแต่ต้น ถือว่าเราก็สะเดาะเคราะห์มาตั้งแต่กำเนิด เป็นการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เหมือนกับพุทธโอวาทครั้งสุดท้ายที่ตรัสว่า ท่านทั้งหลาย สังขารมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท คำสอนนี้บอกว่า จงสะเดาะเคราะห์ตั้งแต่ต้น สร้างบุญสร้างกุศลด้วยตัวของเราเอง ทำตัวเองให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและคนรอบข้าง

 

ส่วนในเรื่องเคราะห์กรรมที่เกิดกับคนในครอบครัว บางคนที่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ หรือไปตกระกำลำบากอยู่แดนไกล พ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นห่วง มีการนำเสื้อผ้า ของใช้ไปสะเดาะเคราะห์ให้ การทำเช่นนี้ถือเป็นบุญกุศลของผู้ที่กระทำเท่านั้น หลายคนที่พ่อแม่ไปหาพระเป็นประจำ ไปปรับทุกข์ว่าลูกลำบากและก็ไม่มีเวลาจะมา พระท่านก็สงเคราะห์ทางใจก่อน คือให้พ่อแม่นำเสื้อผ้ามาและก็สวดมนต์ให้เป็นศิริมงคลเพื่อความสบายใจแก่ผู้ที่นำไป ผู้ที่นำไปก็เกิดความอิ่มเอม อิ่มในบุญ มีความสบายใจ ก็ระลึกถึงและแผ่ความดีไปให้ ซึ่งถ้าผู้รับประกอบความดี นึกถึงบิดามารดาหรือบุพการีผู้ให้กำเนิดอยู่ตลอด คอยโทรศัพท์มาคุยก็จะได้รับความเย็นใจตรงนี้ไปด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนกรรมได้

 

แต่ถ้าผู้ที่ได้รับ รู้ว่ามีเคราะห์ ไปรับศีลและก็มีสติที่จะคิดอ่านแก้ไขปัญหา แก้ไปทีละข้อ ปฏิบัติตนเองให้เป็นคนดี จิตใจผ่องใส ให้อภัย ทำบุญทำกุศล ปล่อยสัตว์ ไม่ดื่มสุรา บำเพ็ญตนให้อยู่ในศีลห้าแล้ว ถือว่าเราได้เริ่มต้นสะเดาะเคราะห์ไปแล้ว และความเย็นใจนั้นก็จะอยู่กับเราไปตลอด ไม่ใช่ว่าทำเป็นครั้งเป็นคราว คือต้องมีทุกวัน ในการประกอบอาชีพในชีวิตประจำวันของเรา มีปัญหาตลอด ก็ต้องตัดเป็นเรื่องๆ ไป ปัญหาไหนแก้ไม่ได้ให้พักไว้ก่อน ตกเย็นมาก็สวดมนต์ทำสมาธิ ทบทวนดูว่าในแต่ละวันเรากระทำผิดศีลข้อไหนบ้าง เรามีทานเป็นปกติไหม อภัยทานเป็นปกติไหม เรามีปิยวาจา เราช่วยเหลือการงานเพื่อนร่วมงาน เราทำเต็มที่ทุกอย่างแล้วหรือยัง สิ่งเหล่านี้เป็นการใคร่ครวญทางจิตใจให้ผ่องใสทุกวัน ถือว่าเราได้สะเดาะเคราะห์ทุกวันแล้ว

 

ส่วนความสังสัยสำหรับบางคนที่เคยได้ยินและเคยได้ไปมาเกี่ยวกับไปสะเดาะเคราะห์กันเป็นหมู่เป็นคณะ ก็ขอตอบว่าหากเราเป็นหนึ่งในคณะที่ถูกโยนผ้าขาวมาคลุม หากเราตั้งจิตถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งจิตว่า นับแต่นี้เราจะเป็นคนใหม่ เช่นนี้ก็ได้ผล หากมัวแต่สนใจว่าผ้าสะบัดไปทางไหน ก็ไม่ได้อะไร ได้เพียงแต่ผ้าขาวคลุมไว้เท่านั้น

 

หากว่าเรามีการตั้งจิตในขณะที่รับน้ำมนต์ รับพรจากพระ เราต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยว มีพระธรรมคำสั่งสอนที่เราจะปฏิบัติตาม แล้วความเย็นของน้ำมนต์นั้นเตือนสติเราให้การทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใส มีขันติ ไม่ทำร้ายสัตว์ รู้จักประมาณตนเองในการบริโภค นอนในที่สงัด หากเราปฏิบัติตนเช่นนี้ถือว่าเราได้รับน้ำมนต์อยู่ตลอดเวลา

 

ในพิธีบังสกุล ขอให้ตั้งจิตว่าเมื่อเดินออกจากวัดไปแล้ว เราจะเป็นคนใหม่ในชาติใหม่ที่เป็นคนดี ที่จะมีศีลตลอด จิตใจเราก็ผ่องแผ้วด้วยความดีของตัวเราเอง

 

ฉะนั้นการสะเดาะเคราะห์ที่ทำสืบทอดกันมาในเมืองไทยเรานั้น ก็เป็นการนำความสบายใจมาสู่ทุกคน และขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องพึงระลึกด้วยตนเองว่า เราควรที่จะปฏิบัติตัวอย่างไร เราอาจจะไม่ต้องไปบังสกุลหรือสะเดาะเคราะห์ที่วัด พระที่บ้านเรา พ่อแม่ถือเป็นพระขอพรจากท่าน คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ก็ต้องถือว่ามีวาจาสิทธิ์ เป็นพระพรหมของลูก เลี้ยงดูมาโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับลูก เมื่อลูกมีทุกข์ก็ต้องให้เขา เช่นนี้จึงเรียกว่าพระพรหม ไม่ใช่ว่าเอาแต่ของลูก คอยคาดหวังว่าเลี้ยงแล้วลูกต้องกลับมาเลี้ยงเรา หากคิดเช่นนี้ก็ไม่ใช่พรหมของลูก หากคิดว่าขอให้ลูกนั้นอยู่เย็นเป็นสุข มีอะไรอยากจะให้ลูกก็ให้ได้หมด ถือว่าเป็นพระพรหมของลูก พ่อแม่ที่ปฏิบัติเช่นนี้สามารถที่จะให้พรลูกได้ หรือว่าเรากราบพระพุทธรูปที่บ้านและตั้งจิตว่าเราจะไม่ทำอย่างนี้อีก เราก็สามารถที่จะสะเดาะเคราะห์ด้วยตนเองได้เช่นเดียวกัน