บทความพิเศษ

 

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๔๗/๑ - ความหวังของบังทอง
13 ส.ค. 2561

 

บังทองผิดหวังที่ไม่สามารณข้ารับราชการอยู่กับซุนกวนได้ เพราะว่าซุนกวนไม่ชอบหน้า ไม่ประทับใจเมื่อแรกเห็น สรุปว่าหน้าตาเนื้อตัวดูไม่ได้ แถมยังดูอีกว่า คิ้วหนา หน้าดํา จมูกใหญ่ หนวดเครารุ่มร่าม เป็นอันว่าบังทองเป็นคนเข้าหาผู้ใหญ่แล้ว ไม่เป็นที่ประทับใจ หน้าดําด้วย ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะชอบหน้าขาวๆ บังทองก็เลยผิดหวัง ก็นึกถึงโจโฉ แต่โลซกไม่ต้องการให้ไปอยู่กับโจโฉ เพราะเป็นศัตรูกับกังตั๋ง ถ้าไม่ได้อยู่กับซุนกวนก็น่าจะไปอยู่กับเล่าปี่ โลซกเขียนจดหมายฝากบังทองไปยังเล่าปี่ บังทองรับจดหมายแล้วลงเรือมาที่เกงจิ๋ว

 

บังทองเป็นศิษย์รุ่นเดียวกับขงเบ้ง อาจารย์สุมาเต็กโชถึงกับทํานายว่า ใครได้ขงเบ้งหรือบังทองไปอยู่ด้วยคนใดคนหนึ่ง ก็สามารถที่จะครองทั้งแผ่นดินได้ แต่ขงเบ้งมีจุดดีที่ว่า มีลักษณะรูปร่างหน้าตาดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ในขณะที่บังทองไม่มี มีดาวพุธเป็นวินาศแล้วพูดจาไม่เป็น รูปร่างหน้าตาก็ไม่ก่อให้เกิดความเอื้อเอ็นดู นี่คือข้อแตกต่าง หน้าตาแบบนี้แสดงถึงสภาพจิตใจที่คับแคบด้วย จมูกกว้างแต่ปากเล็ก คือจิตใจที่คับแคบ ติ่งหูเล็ก สิ่งเหล่านี้ทอนไม่ให้บังทองขึ้นสู่จุดสูงสุดเท่าที่ควร

 

บังทองได้รับจดหมายแล้วลงมาเกงจิ๋ว ตอนนั้นขงเบ้งไม่ได้อยู่ในเมือง ออกไปชําระคดีอยู่ในชนบท เล่าปี่ทราบว่าอาจารย์ฮองซูหรือบังทองมาก็ยินดี เชิญตัวมาพบ บังทองเข้าไปหาเล่าปี่ คำนับแต่พอเป็นพิธี ผิดกับขงเบ้งที่เป็นคนอ่อนน้อมทุกครั้ง ในคําพูดแวบแรกที่ใครเห็นก็ตามก็ยังชื่นชมประทับใจ แต่เล่าปี่เห็นกิริยาบังทองไม่น่าเคารพตั้งแต่แรกเหมือนกัน ทั้งหน้าตาเนื้อตัวไม่น่าดู ก็เลยทักทายพอเป็นพิธีว่า ท่านเดินทางมาไกล คงจะเหน็ดเหนื่อยมาก บังทองมองปั๊บ เห็นเล่าปี่เนือยๆ ไม่ค่อยแสดงความนับถือ ก็นึกน้อยใจ เลยไม่ได้เอาจดหมายของขงเบ้งกับโลซกให้เล่าปี่ดู

 

บังทองตอบไปว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิติศัพท์เล่าลือกันว่า ท่านต้อนรับเลี้ยงดูผู้มีวิชาความรู้ ข้าพเจ้าจึงมาหาท่าน เล่าปี่ก็พูดเนือยๆ แบบไม่ใส่ใจว่า เวลานี้ เมืองเกงจิ๋วสงบเรียบร้อย ไม่มีตําแหน่งใดว่างเลยจริงๆ (อันนี้เป็นอุทาหรณ์สําหรับผู้ที่จะสมัครงานว่า จงอย่ามีกริยาหน้าตาเนื้อตัวไม่น่าดู รวมทั้งคําพูดที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตัว เรียกว่าคํานับพอเป็นพิธี คือเขาดูออก)

 

ก็บอกว่าตําแหน่งในเมืองเกงจิ๋วยังไม่ว่าง แต่เมืองลอยเอี๋ยงอยู่ทางภาคอีสาน ยังขาดเจ้าเมือง  ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านไปว่าราชการที่เมืองนั้นสักชั่วคราว พอมีตําแหน่งในเกงจิ๋วว่างลงที่เหมาะสม จึงจะเชิญท่านมาอยู่ด้วยกัน

 

เล่าปี่อ่อนโยนที่สุด ให้เข้ารับราชการ แต่เอาไปเสียไกล ไปอยู่ที่อีสาน บังทองเห็นว่าขงเบ้งก็ไม่อยู่ จะพูดจาอะไรไม่ถนัด คนไม่รู้จักกัน ก็จํายอมรับตําแหน่งที่เล่าปี่มอบให้  แล้วจึงลาไป เมื่อไปถึงเมืองลอยเอี๋ยงแล้ว ก็ลอยไปลอยมา ไม่ทํางานทําการอะไร กินๆ นอนๆ ทุกวัน ภาษีก็ไม่ออกเก็บ คดีความก็ไม่ตัดสิน ความทราบถึงเล่าปี่ ก็ร้องด่าว่า คนอัปรีย์อย่างนี้จะทําให้ราชการบ้านเมืองของเราป่นปี้หมด ก็เลยให้เตียวหุยออกไปตรวจราชการทางภาคอีสาน สั่งแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เตียวหุยเป็นคนเอะอะตึงตังจะเสียการ ก็เลยให้ซุนขียนไปด้วย จะได้ช่วยกันเป็นที่ปรึกษา

 

เมื่อเตียวหุยกับซุนขียนไปถึงเมืองลอยเอี๋ยง คณะกรรมการเมืองออกมาคอยต้อนรับที่พรมแดน ขาดแต่เจ้าเมืองคนเดียวที่ไม่มาคือบังทอง เตียวหุยก็โมโห ถามด้วยเสียงอันดังว่าเจ้าเมืองไปไหน

 

คณะกรรมการเมืองก็ตอบว่า ตั้งแต่เจ้าเมืองมารับตําแหน่งกว่า ๑๐๐ วันแล้วนั้น ยังไม่ได้ออกว่าราชการเลย เอาแต่เสพสุราตั้งแต่เช้าจนค่ําไม่เว้นว่าง ตอนนี้ยังเมาสุรานอนอยู่ เตียวหุยโกรธจัด สั่งให้ปลดบังทองออกจากตําแหน่งทันที ซุนเขียนก็ห้ามเอาไว้ แล้วว่าบังทองเป็นคนมีปัญญา มีความรู้ เราจะทําสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ควร นี่คือคนที่รอบคอบ คือนักการฑูต ควรจะไปไต่ถามตามข้อเท็จจริงเสียก่อน จึงจะชอบ ถ้าได้ความเป็นสัตย์ว่าเขาไม่เอาธุระจริงๆ จึงค่อยสั่งปลด ใครก็ติเราไม่ได้ เตียวหุยก็เห็นชอบด้วย พากันไปที่ศาลากลางแล้วก็ให้คนไปตามตัวบังทองมาพบ