ดวงประเทียบ

 

สาวิตรี (ดวงประเทียบ)
1 ก.พ. 2554

 

สาวิตรี

 

            ในบรรดาหญิงงามในวรรณคดี  ผู้ที่พร้อมด้วยสติปัญญาและมีจิตใจที่มั่นคง  และเป็นผู้ที่เผชิญเรื่องราวที่แตกต่างจากคนอื่น  เป็นเรื่องราวที่ต้องนำมาค้นหาดวงประเทียบ  เพื่อศึกษาอย่างพลาดไม่ได้

 



เป็นเรื่องราวของพระธิดา  ซึ่งพระบิดาคือ  ท้าวอัศวบดี  ราชาแห่งแคว้นมัทราษฎร์ ได้บำเพ็ญตบะเป็นเวลาถึง  ๑๘ ปี  จึงได้พระธิดาที่งามพร้อมและได้รับพระนามว่า  “สาวิตรี”  ซึ่งมีดวงประเทียบดังนี้

 

ดวงประเทียบ, โหราศาสตร์ไทย, สาวิตรี

สาวิตรี เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด  ซึ่งจะอนุมานหาลัคนาได้ดังนี้

 

  • ผู้ที่มีลัคนาอยู่ในทวีป  บูรพวิเทหะ คือ  เมถุน  กรกฎ  สิงห์ และในจำนวนนี้  สิงห์ฉลาดที่สุด เพราะเมถุนนั้นฉลาดแต่ลังเล  กรกฏ ฉลาดแต่พันตัวเองมักนึกถึงแต่ตนเอง  แต่สิงห์นั้นฉลาด  คิดถึงพวกพ้องและกล้าตัดสินใจ
     
  • ผู้มีลัคนาอยู่ในราศีธาตุไฟ  คือ  เมษ  สิงห์  ธนู  เมษนั้นฉลาดในหลักการ ไม่ฟังคำท้วงติง  เด่นแต่กล้าแข็ง  สิงห์นั้นหยิ่งด้วยยศศักดิ์  แต่ธนูนั้นจะรอบคอบประนีประนอม  อ่อนน้อมถ่อมตน  ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  มีเสน่ห์ด้วยวาจา
     

เมื่ออนุมานด้วยประวัติของสาวิตรีแล้ว  กำหนดลัคนาอยู่ที่ราศีธนู  มีดาว  ๕ เป็นตนุลัคน์  เป็นประ อยู่ราศีเมถุน  ซึ่งยังคงความหมายของสติปัญญา  ที่เฉลียวฉลาดอย่างครบถ้วน  ทั้งยังต้องเผชิญเรื่องราวที่ไม่เหมือนคนอื่น  การขอร้องเพื่อคนอื่น  ก็ดูเหมาะสมดีกับลัคนาที่อยู่ราศีธนู  และดาว ๕  ตนุลัคน์  เป็นประอยู่ราศีเมถุน
 


สาวิตรีเจริญวัยสู่ความเป็นสาวด้วยความงามและสติปัญญา  แต่ยังหาคู่ไม่ได้ โดยปกติถ้าดาว  ๕  เล็งลัคน์อย่างนี้  มีความหมายในทางพินทุบาทว์ที่เกี่ยวกับคู่ครองโดยตรงอยู่แล้ว
 


ท้าวอัศวบดีกังวลพระทัยมาก  จึงตัดสินใจให้สาวิตรีเลือกสวามีเองตามความชอบใจ  เมื่อสาวิตรีออกประพาสในที่ต่าง ๆ ก็ได้พบเนื้อคู่ในป่าชายแดนของแคว้นมัทราษฎร์  ซึ่งดาวภพปัตนิ คือ  ดาว ๙  ให้อยู่ในภพวินาศ  ราศีพิจิก  เนื้อคู่พบกันโดยบังเอิญในป่าที่ไม่คาดหมาย  และภพวินาศก็เป็นภพของคนแปลกหน้า  เพราะการพบเนื้อคู่ของสาวิตรีเป็นการพบเอง  ไม่ได้เกิดจากพระบิดาแนะนำหรือเกิดในหมู่เครือญาติ
 


พระสัตยวาน  ผู้เป็นเนื้อคู่ของสาวิตรีเป็นโอรสของท้าวทยุมัตเสน  ราชาพระเนตรบอดของแคว้นศาลวะ ถูกศัตรูแย่งชิงบัลลังก์  ท้าวทยุมัตเสนจึงทรงนำพระนางไสพยามเหสี  และพระสัตยวานราชโอรส  หลบหนีศัตรูมาออกบวชเป็นฤๅษี  ณ  ราวชายป่าแคว้นมัทราษฎร์  และพระเนตรของพระองค์ก็มามืดบอดสนิทในตอนนี้เอง

 



เรื่องราวของเนื้อคู่ของสาวิตรี  คือ ดาว ๙  มีชีวิตที่ระหกระเหินไร้บัลลังก์  เพราะอิทธิพลของดาว  ๙  เอง และดาว  ๘  กุมดาว  ๑ เพราะถูกศัตรูราวี  จึงใส่ดาว ๔  ดาวพระเคราะห์คู่ศัตรูของดาว  ๘  ประกอบกับฤๅษีนารททำนายว่า  “ท้าวสัตยวาน  จะมีชีวิตได้อีกหนึ่งปีเท่านั้น”  ก็คือเนื้อคู่ของสาวิตรีถูกเบียดเบียนด้วยพระเคราะห์คู่ศัตรู  และดาว  ๑  สามีในดวงชาตาอยู่ในภพวินาศ  และถูกราหูกุมจึงต้องประสบชาตากรรมอย่างนี้
 


เมื่อสาวิตรีทูลท้าวอัศวบดีว่า  นางตกลงใจเลือกพระสัตยวานเป็นสามี  พระนารทซึ่งนั่งอยู่ด้วยก็ห้ามปรามเนื่องจาก  ท้าวสัตยวานจะมีอายุอีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น  แต่ด้วยจิตใจที่แน่วแน่  สาวิตรีไม่ยอมเปลี่ยนใจ  อันเป็นลักษณะของตนุลัคน์ที่เป็นประและกุมดาวพลูโต  ดาวแห่งความซื่อสัตย์ และรักเดียวใจเดียว

 



และเมื่อเวลาหนึ่งปีผ่านไป  ในวันนั้น ท้าวสัตยวานและนางสาวิตรี  ชวนกันออกไปประพาสป่าเพื่อเก็บผลหมากรากไม้และในขณะที่เดินไปอย่างเพลิดเพลินนั้น  ท้าวสัตยวานก็เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืด หมดสติไป

 


ขณะนั้น พระยมเทพเจ้าแห่งความตาย  ได้เดินตรงเข้ามาหาท้าวสัตยวานที่นอนหมดสติอยู่บนตักของสาวิตรี  ที่นั่งรอคอยอย่างสงบและมีสติปราศจากความหวาดกลัว  เมื่อเห็นพระยายมเสด็จมานางก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า  โดยทั่วไปผู้ที่มารับวิญญาณของคนตายมักเป็นพวกยมทูต   ทำไมคราวนี้เป็นพระยายมเสด็จมาเอง
 


ด้วยความประหลาดใจที่นางสาวิตรีสามารถเห็นพระองค์  ก็ทรงตอบว่า  “วิญญาณชั้นต่ำไม่ได้มีความดีงามเป็นพิเศษ  พวกยมทูตจะเป็นผู้มารับ  แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความดีงามพร้อมอย่างท้าวสัตยวาน  พระองค์จะเสด็จมารับเอง”
 


ในวรรณคดีเฉลยที่นางสาวิตรีมองเห็นพระยายม  เพราะนางมีบารมีเกิดจากการบำเพ็ญตบะ  แต่ในหนังสือ  “เรียนดวงจากวรรณคดี”  ของอาจารย์แอนขอตอบตามหลักวิชาว่า   การติดต่อกับโอปาติกะนั้นจะต้องพิจารณาจากภพมรณะ  และภพวินาศเป็นสำคัญ

 



ภพมรณะ หมายถึงคนตาย  หรือวิญญาณของคนตาย  ส่วนภพวินาศหมายถึงความเร้นลับ ปรโลกภพที่ลึกลับ  ภูมิสวรรค์  นรก

 



ในที่นี้ ดวงชาตาของนางสาวิตรีจึงให้ภพวินาศคือดาว  ๓  กุมลัคนา และดาว ๒ ภพมรณะ  เป็นมหาจักร  ตรีโกณถึงลัคนา  คือไม่เป็นภัยกับนางสาวิตรี  แต่จะต้องเผชิญเรื่องราวที่ไม่เหมือนคนอื่นเกี่ยวกับภพความตาย  และดาว ๐  ที่เป็นดาวศูนย์พาหะ  เป็นดาวที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ  ดาว  ๙  ขนาบหลัง  เป็นดาวเกี่ยวกับจิตวิญญาณ
 


ดังนั้นดาว ๙ และดาว ๐ ที่ขนาบหน้าหลังและมาจากภพปัตนิกับภพสหัชชะ  เป็นเรื่องใกล้ตัวเกี่ยวกับคู่ครองและการติดต่อวิญญาณ

 



นางสาวิตรีเดินตามพระยมซึ่งจูงท้าวสัตยวานเดินนำหน้า  พระยมได้บอกให้นางสาวิตรีเลิกติดตามเพราะหนทางนั้นลำบากและอันตราย  อีกอย่างพระสัตยวานนั้นตายแล้ว ย่อมไม่เกิดประโยชน์ที่จะตามไป นางสาวิตรีทูลตอบว่า  “นางไม่หวั่นต่อความลำบากหรืออันตรายใด ๆ”  ด้วยถือเอาตบะที่ได้บำเพ็ญเพียรมา  ด้วยสัมมาคารวะที่มีต่อผู้หลักผู้ใหญ่และความกรุณาพระยมที่มีต่อนาง   เป็นเกราะคุ้มครองป้องกันภัยตลอดการเดินทาง

 



พระยมพอใจในคำตอบของนางจึงประทานพรให้นางขอได้ทุกสิ่ง  ยกเว้นชีวิตของพระสัตยวาน  นางจึงขอให้พระเนตรของพระบิดาของพระสวามี  คือท้าวทยุมัตเสน  หายจากมืดบอด  พระยมก็ประทานให้ตามที่นางปรารถนา
 


นี่เป็นเพราะดาว ๒ จากภพมรณะอยู่ในภพปุตตะ  ดาวที่อุปถัมปภ์เมตตาเอ็นดู  ไม่ให้ผลที่ร้ายแรง  และดาว ๒ ยังส่งผลให้นางเป็นคนมีสัมมาคารวะ  อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่  และอิทธิพลจากดาว ๖  ที่เป็นเกษตร คือเพียบพร้อมด้วยความงามและสติปัญญาความแน่วแน่และเป็นภพที่แสดงถึงความสำเร็จ  เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เข้มแข็งเป็นเกษตร  โยคหลังลัคนา  และเป็นดาวที่อยู่หลังดาว  ๑  แสดงเจตนาที่แน่วแน่  และเสน่ห์ในการเจรจา

 


นางสาวิตรียังคงติดตามพระยมต่อไปซึ่งก็ได้รับการห้ามปราม  และนางก็มีคำตอบว่า  “เมื่อนางได้มีโอกาสอยู่ใกล้สามี  นางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย  และไม่ว่าสวามีของนางจะอยู่ในสภาพใดนางก็จะขออยู่ในสภาพนั้น ” และนางเองก็ได้มีโอกาสร่วมทางกับพระยายมผู้ทรงคุณธรรมล้ำเลิศ  ซึ่งย่อมเกิดผลดีอย่างแน่นอน 
 


ความสามารถในการยกยอนั้น  ยังคงเป็นดาว  ๖  ที่เป็นเกษตร  คือส่งผลให้มีปิยะวาจา  ไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อพระยมให้พรแก่นางสาวิตรีอีกครั้ง  โดยมีข้อแม้ว่าไม่ขอชีวิตพระสัตยวาน  นางก็ขอให้ท้าวทยุมัตเสนได้ราชสมบัติกลับคืน  นี่ขอให้คนอื่นตามตนุลัคที่เป็นประ  ซึ่งพระยมก็ไม่ขัดข้องอีกเช่นเคย  พร้อมทั้งตรัสห้ามนางมิให้ตาม จนพระยมต้องให้พรข้อที่สาม โดยมีข้อแม้เดิม นางขอให้บิดาของนางมีบุตรสืบสกุล  พระยมก็ประทานให้
 



นางสาวิตรีเดินตามอย่างไม่ลดละ  จนได้พรข้อที่สี่  นางขอให้นางเองมีโอรสที่เรืองฤทธิ์ร้อยคน  พระยมที่กำลังให้พรเพลินอยู่ไม่ทันฉุกใจคิด  จึงออกโอษฐ์อย่างเคยชินรับปากนางทันที  นางสาวิตรีไม่ปล่อยโอกาสอันดีงามนี้ผ่านพ้น  เอ่ยสรรเสริญพระยมด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวานต่อไป  จนได้พรข้อที่ห้า โดยพระยมลืมเอ่ยถึงข้อแม้  เพียงตรัสว่า “นางขอ”

 


พรข้อที่ห้าที่นางสาวิตรีขอคือ  ชีวิตของพระสัตยวาน  โดยอ้างพรข้อที่สี่  ที่พระยมตรัสประทานให้นางมีโอรสผู้เรืองฤทธิ์หนึ่งร้อยคนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากท้าวสัตยวาน
 


ในที่สุดพระยมก็ทรงปล่อยวิญญาณของท้าวสัตยวานให้กลับสู่ร่างเดิม   ความอดทนและความเพียรพยายามจนประสบความสำเร็จ  คืออำนาจของดาว  ๗  ที่อยู่ในเรือนคู่ธาตุ  อยู่กลางฟ้าของเจ้าชาตานั่นเอง