ฮวงจุ้ยพื้นฐาน

 

การตรวจสอบทำเลอาคารที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
11 ก.ค. 2560

 

ข้อสังเกตประการหนึ่ง ในการตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น มักจะสอดคล้องกับดวงดาวอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดาวใหญ่ย้าย เช่น ดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ย้าย เกิดมุมร่วมระหว่างดาวทั้งสองนี้ จึงมักมีเหตุทำให้หลายคนมีความคิดที่จะหาทำเลเพื่อจะเริ่ม หรือเปลี่ยนแปลงกิจการของตนเอง

 

สถานที่ที่เราเลือก ต้องมีความสะดวกและส่งเสริมในกิจการของเรา  ถ้ากิจการของเราเป็นกิจการที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ก็ต้องเลือกทำเลที่การติดต่อสื่อสารสะดวก หรือถ้าเป็นกิจการที่ต้องการคนเข้ามาพบ ก็ต้องเป็นทำเลที่มีที่จอดรถสะดวก เป็นต้น

 

เราควรหาทำเลที่เหมาะสมในการประกอบกิจการ เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองด้วย เช่น ต้องการเปิดร้านอาหาร กาแฟ นมสด ควรจะหาสถานที่ที่อยู่ใกล้ออฟฟิศ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ ในทางฮวงจุ้ย เราเรียกว่า "ชี่" หรือ "ปราณ" ซึ่งมีทั้งปราณภายในและปราณภายนอก หมายถึงปราณ หรือ วิถีของการประกอบการในธุรกิจนั้น กับสภาพแวดล้อมภายนอก ต้องไม่ขัดกัน และเป็นสิ่งที่เราควรจะคำนึงถึงด้วย

 

มักจะมีคำถามเกี่ยวกับการเลือกหาทำเลที่ดี เป็น อาคาร ตึก ซึ่งมีอยู่มากมายในกรุงเทพฯ  ซึ่งโดยปกติ การเลือกตึกนั้น เราไม่สามารถประเมินฮวงจุ้ยของตึกหลังใดหลังหนึ่งอย่างโดด ๆ เพียงอย่างเดียว ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ รูปทรงของอาคาร กับสิ่งที่อยู่โดยรอบอาคาร จะเป็นองค์ประกอบสนับสนุนตัวอาคารเรา หรือเป็นอาคารโดด ๆ ไม่มีอะไรสนับสนุนเลย อีกทั้ง สีสัน หลังคา ความเก่าใหม่ มีน้ำรั่วหรือไม่ ไฟมาทางไหน เอาน้ำเข้าทางไหน มีต้นไม้ มีองค์ประกอบรอบ ๆ เป็นอย่างไร ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญยิ่งในการวินิจฉัยทำเล ทั้งสิ้น

 

ซึ่งขึ้นตอนในการพิจารณาเพื่อเลือกหา ตึก หรือ อาคาร พอสรุปได้ดังนี้

 

•         พิจารณาจาก รูปทรงกลุ่มอาคารพาณิชย์ อย่าให้มีความแตกต่างกันมากนักในเรื่องของความสูง รูปทรง ขนาด ภายในอาณาบริเวณที่ใกล้เคียง ในระยะสายตาเห็น และต้องดูให้สัมพันธ์กัน ซึ่งมีความหมายว่า การค้าที่เราทำจะต้องสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และต้องสัมพันธ์กันไปด้วยดี โดยที่ไม่ใช่ต่างคนต่างขึ้น หรือต่างคนต่างทำ อีกทั้งต้องดูลักษณะตึกว่า มีความสอดคล้อง กลมกลืน และสัมพันธ์กันไปในทางเดียวกัน หรือว่ามีเหลี่ยมมุมของอาคารต่างๆ พุ่งชี้เข้าใส่กัน ให้เราได้นึกสภาพว่าอาคารนั้น เปรียบเสมือนคนที่กำลังยืนอยู่ แล้วมุมตึกซ้ายขวา ต่างไปคนละทาง เพราะปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปหุ่นยนต์ รูปเรือ รูปสองแฉก หากเป็นอย่างนั้น ก็คล้ายกับการที่เราไปยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน เหลี่ยมมุมของแต่ละอาคารที่ชี้ใส่กัน ดูไม่สัมพันธ์กันเลย ย่อมก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้ง

 

หรือตึกหนึ่งกลมกว้างเหมือนชามก๋วยเตี๋ยว และอีกตึกเหมือนตะเกียบ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่าสัมพันธ์กัน ดังนั้นการเลือกรูปทรงของตึกและอาคารที่อยู่รายล้อม จึงจำเป็นต้องเลือกที่มีความ สอดคล้องกลมกลืนกัน จึงจะดี

 

•      บางครั้ง การพิจารณาก็มาจากการสังเกต อย่างเช่น เมื่อเราเดินออกมาจากอาคารหนึ่ง แล้วให้มองไปยังด้านหน้าอาคาร พิจารณาดูว่า มีตึกสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนฟันหรือไม่ มันอ้าปาก มีเขี้ยว มีฟัน มีลักษณะกำลังอ้าปากกัดเราอยู่ ตึกลักษณะเช่นนี้มีเต็มเมืองไปหมด ดังนั้น เราก็ต้องดูว่าเราสามารถที่จะเอาต้นไม้บังได้ไหม หรือว่าส่วนที่เราไปอยู่ มันอยู่ส่วนไหนของตึก แล้วเรามองเห็นอะไรจากหน้าต่าง ซึ่งเราต้องดูว่ามันพอจะบังสิ่งที่เราไม่ชอบได้หรือไม่ อันนี้คือ อีกข้อสำคัญที่เราจะต้องพิจารณา

 

•         อาคารที่แออัดไม่ได้แปลว่าไม่ดี บางครั้งความแออัดตรงนั้น หมายถึง ผู้คนที่อะลุ่มอล่วยต่อกัน เราก็ต้องสังเกตการค้าในแถบนั้น ว่าเป็นการค้าที่รับรองคนกลุ่มไหน ส่วนมากจะเป็นของคนชั้นกลาง แล้วก็ค่อนข้างจะบริการดี แต่ว่าถ้าเป็นอาคารโดดๆ เป็นออฟฟิศ หมายความว่าทุกคนต้องช่วยตัวเอง ต่างคนต่างไปเพราะคู่แข่งขันจะเยอะ เป็นต้น

 

•         พิจารณามุมที่เราจะเลือกด้วยว่า มองจากมุมนั้นเราเห็นอะไร บางทีเราเลือกมุมดี แต่ว่าถูกเบียดบังด้วยเสา ก็อาจจะเหลือห้องนั้นเป็นมุมแหลม ก็ต้องมีการปรับแต่งให้ดี ถ้าเลือกอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ที่สร้างใกล้กัน หรือว่าร้านค้าที่สร้างติดต่อกันเป็นแถว ก็จะต้องมีขนาดที่หน้ากว้างเหมือนกัน ถ้าพื้นที่ที่เราไปเช่า มันจะเป็นซอกมุมเล็กมุมหนึ่ง ต้องดูว่าเราจะทำอะไร ถ้าเราขายซาลาเปาก็ทำได้ คืออะไรก็ได้ที่สามารถเตะตาคน แล้วก็มีการลอยตัวอย่างเช่น นึ่งซาลาเปานี่คือของร้อน มันจะดึงคนเข้าไปหาในตอนเช้า หรือติดมือในเวลาเย็น อย่างนี้ได้ เพราะเป็นของกินที่สามารถที่จะให้นามบัตรให้จัดเลี้ยงหรือจัดส่งได้ สำหรับพื้นที่เล็กๆ อย่างนี้จะต้องเป็นลักษณะของธาตุไฟ หรือขายส่ง หรือร้านถ่ายเอกสาร คือลงทุนเครื่องจักรอย่างเดียว แต่ว่ารับออเดอร์เยอะ อย่างนี้ก็ได้ ถ้าขายดอกไม้นี่ไม่รวย จะต้องเป็นประเภทร้อนหรือไฟ

 

 

อาจารย์หม่า, ซินแสภาณุวัฒน์, หมอช้าง, หมอลักษณ์, อาจารย์มาศ, อาจารย์แอน, ซินแสเป็นหนึ่ง

 

 

การแบ่งหน้าร้านออกเป็นสองฟาก สมมติว่าสามีภรรยาทำด้วยกัน สามีขายยา ภรรยาขายประกัน แบ่งกันคนละครึ่ง มันทำให้หน้าร้านแคบกว่าหน้าร้านข้างเคียงไม่เป็นผลดี ก็ควรจะเป็นลักษณะที่ว่าหน้าร้านคือขายของ ถ้าจะทำประกันเชิญออฟฟิศด้านใน แต่ไม่ให้แบ่งครึ่งเป็นยาวๆ คือต้องทำให้หน้าร้านกว้าง ถ้าเราแบ่งร้านข้างเคียงต้องแบ่งด้วย คือต้องแบ่งทั้งหมดเลย อย่างนี้ได้ อย่าไปปิดปากทางเข้า
 
อาคารพาณิชย์ทั่วๆ ไป เราต้องดูว่ามีอะไรที่ได้ชื่อว่าปิดทางเข้าหรือไม่ เช่น เสาไฟฟ้า ต้นไม้ใหญ่ หรือกระถางต้นไม้ใหญ่ของ กทม. เป็นเหมือนกับปิดทางเข้า อยู่หน้าร้านเรา หรือว่ามีลูกศรชี้มาที่ร้านเราเลย เขาเรียกว่าร้านแตก ซึ่งภาษาจีนเขาเรียกว่า ซาชี่ หรือ ศรพิษ หรือฝั่งเราไม่มีแต่มีฝั่งตรงกันข้าม ข้างล่างไม่มีแต่ข้างบนมี
 
ในการปรับแต่งแก้ไข หน้าร้านที่โดนซาชี่แบบนี้ ควรจะมีต้นไม้ ดอกไม้ภายในอาคาร จะทำให้เกิดความสมดุลกัน คือทำให้เกิดชี่ที่ดี ทำให้เกิดผลดีในทางธุรกิจ หรือว่าการจัดให้มีน้ำ เช่น ลำธาร เพื่อสร้างให้เกิดพลังน้ำไหลโอบ พลังน้ำทางด้านขวาและซ้าย แล้วแต่ทิศทางจะบอกว่าพลังอยู่ด้านไหน มีน้ำพุ หรือเลี้ยงปลา แม้กระทั่งก้อนหิน ถ้าวางถูกหลักก็สามารถจะแก้ซาชี่หรือชี่ร้ายๆ ได้ ต้นไม้ ดอกไม้ ไม้ยืนต้นเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง หรือคุณธรรม อย่าไปเลือก ต้นไทร ต้นโพธิ์ เพราะนั่นคือต้นไม้ในวัด แต่อย่าเต็มบ้าน ถึงขนาดที่ว่ามองแต่ไกลเห็นดอกเต็มไปหมดเลย ซึ่งมันเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความหวัง ดีก็จริง แต่จะสุขเกินไปจนไม่ทำงาน ต้องจัดแบบพอดี ๆ

 

นอกจากนี้รูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นมงคลที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง เราก็สามารถที่จะนำมาปรับแต่งในอาคารพาณิชย์ของเราได้ ชาวจีนมีวัตถุมงคลมากมาย แต่ก็เลือกให้เหมาะ ไม่ว่าจะเป็นเต่า กิเลน กวาง ม้า สิงโต ซึ่งเกี่ยวกับความคุ้มครอง แต่มีมากเกินไปก็ไม่ดี
 
ฮวงจุ้ยบ้าน, ฮวงจุ้ยคอนโด, ฮวงจุ้ยร้านค้า, ฮวงจุ้ยห้องนอน, อาจารย์แอน, ฮวงจุ้ยสวน