บทความพิเศษ

 

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๖๒/๑ - กังตั๋งกับเสฉวนเป็นพันธมิตรกัน
11 ม.ค. 2562

 

ทางฝ่ายวุยก๊ก พระเจ้าโจโฉสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คนที่ขึ้นครองต่อคือ โจผี ตอนนั้นทราบว่าเล่าปี่เสียทัพให้แก่ลกซุน สําคัญว่าลกซุนคงอ่อนกําลังลง จึงสั่งทัพเข้าโจมตีกังตั๋ง แต่กลับถูกลกซุนตีแตกถอยทัพกลับมา ต่อมาจึงได้ทราบว่าพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ โจผีจึงคิดจะยกทัพไปตีเสฉวน แต่ก็กังวลว่าถ้าตีเสฉวน ซุนกวนต้องตลบหลังแน่ ก็เลยส่งพระราชสาสน์ไปชักชวนซุนกวนให้ร่วมเป็นพันธมิตร ปราบปรามเสฉวนแล้วแบ่งดินแดนกัน

 

ซุนกวนปรึกษาลกซุนว่า ควรจะร่วมมือกับพระเจ้าโจผี หรือจะเอาอย่างไรดี ลกซุนเสนอความเห็นว่า โจผีมีกําลังมาก ตั้งมั่นอยู่ในพระนครหลวง ถ้าหากปฏิเสธ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกัน แต่ทั้งอาณาจักรกังตั๋งกับอาณาจักรลกเอี้ยง จะหาคนที่มีสติปัญญาความรู้ความสามารถอย่างขงเบ้ง สมุหนายกแห่งเสฉวน ไม่มีอีกแล้ว ควรจะตอบตกลงกับโจผีว่ายินดีร่วมมือด้วย แล้วจัดเตรียมกําลังให้พร้อม รอให้กองทัพโจผีเข้าตีเสฉวนเสียก่อน หากเสฉวนเพลี่ยงพล้ําต่อโจผี จงรีบยกทัพเข้าตีเสฉวนทันที แต่ถ้าหากว่ากองทัพโจผีเพลี่ยงพล้ําแก่เสฉวน เราก็ไม่ต้องยกทัพไป อันนี้เอาตัวรอด รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

 

เท่าที่เราดูการรบของลกซุน จะตรงกันข้ามกับอายุคือเขา คืออายุยังน้อย แต่ไม่หุนหันพลันแล่น รอและรอ ซึ่งแผนอันนี้สุมาอี้ก็ใช้ในการรบกับขงเบ้ง คือรอแล้วรออีก ใจเย็น คราวนี้ก็เหมือนกัน คือโอนอ่อนผ่อนตาม รอดูจังหวะ เป็นจุดเด่นของลูกซุน โอนอ่อนผ่อนตามเป็นดาว ๒ รอจังหวะก็คงเป็นดาว ๑ ๔ ๖ บุคคลที่มีดาว ๑ ๔ ๖ อยู่ในดวง เป็นคนที่มีจังหวะในการดําเนินชีวิต ซุนกวนเองก็เห็นชอบด้วย ก็ตอบพระราชสาสน์โจผีไปว่า ยินดีจะร่วมมือและจะส่งกองทัพตามไปภายหลัง

 

พระเจ้าโจผีได้รับคําตอบก็ดีพระทัย กรีธาทัพเข้าตีเสฉวนทันที แบ่งออกเป็นกองทัพถึง ๔ ทัพด้วยกัน แต่ก็ถูกกองทัพเสฉวนสกัด ต้องถอยทัพมาทั้ง ๔ ทัพ เมื่อพระเจ้าซุนกวนทราบข่าวความปราชัยของพระเจ้าโจผี ก็พูดกับบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า ลกซุนคาดการณ์ไว้รอบคอบ ถ้าเรารีบยกทัพไปช่วยพระเจ้าโจผีตีเสฉวน ขงเบ้งคงจะพยาบาทกังตั๋งมิรู้หายทีเดียว

 

ซุนกวนพูดยังไม่ทันสิ้นคํา ทหารรับใช้เข้ามารายงานว่า ขงเบ้งส่งเตงจี๋เป็นทูตมาขอพบ  เตียวเจียวหัวหน้าที่ปรึกษาก็บอกว่า ขงเบ้งเดินแต้มมิให้เราร่วมมือกับโจผี ให้พึงระงับปากของเตงจี๋เสีย อย่าให้เอ่ยคำพูดขึ้นมาได้

 

ซุนกวนก็ถามว่าจะทําอย่างไรถ้าไม่ให้พูด เตียวเจียวบอกว่า เราควรตั้งกระทะใหญ่เคี่ยวน้ํามันตั้งไว้ ณ ท้องพระโรง  จัดทหารที่ร่างกายกํายําสูงใหญ่เรียงแถว มือถืออาวุธยืนอยู่สองข้าง แล้วเชิญเตงจี๋เข้ามา ท่านจงทําเป็นขู่ว่า ถ้าพูดไม่ดีจะจับโยนลงกระทะทอดน้ํามันเสีย ดูทีหรือว่า ฑูตของขงเบ้งจะขวัญเสีย กล้าพูดอะไรหรือไม่ ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้จัดการตามคําแนะนําของเตียวเจียว แล้วเชิญเตงจี๋เข้ามา

 

เตงจี๋ยืนถวายบังคมซุนกวนอย่างธรรมดา ไม่ได้ลงกราบ ซุนกวนตวาดว่า ทําไมไม่กราบ เตงจี๋ตอบว่า ทูตของประเทศใหญ่ไม่จําเป็นต้องกราบผู้ครองประเทศน้อย ซุนกวนโกรธจัด ตวาดซ้ําว่า ถ้าเจ้าขืนพูดมาก ข้าจะสั่งให้จับเจ้าโยนกระทะทองแดงเสีย

 

เตงจี๋หัวเราะลั่น เยาะเย้ยว่า ใครๆ เขาเล่าลือกันว่า กังตั๋งอุดมไปด้วยนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่คงไม่มีใครเชื่อว่า นักปราชญ์เหล่านี้ เพียงเห็นนักปราชญ์อย่างข้าพเจ้าก็ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน ซุนกวนโกรธนักหนา มีใครกลัวอ้ายโง่อย่างเจ้าที่ไหนกัน เตงงี๋บอกว่า ถ้าไม่กลัวข้าพเจ้า ทําไมไม่กล้าพูดกับข้าพเจ้าดีๆ ทําไมจึงต้องตั้งกระทะเคี่ยวน้ํามันไว้ขู่กันด้วย

 

ซุนกวนตอบว่า ข้ารู้ว่าเจ้ามานี่เพื่อจะดึงกังตั๋งออกจากการเป็นพันธมิตรกับโจผี ให้ไปเข้ากับเสฉวนจริงหรือไม่ เตงจี๋หัวเราะแล้วว่า ที่มานี่เพื่อจะชี้แจงข้อเท็จจริงของประเทศของข้าพเจ้าให้ท่านทราบ แต่ท่านกลับหาเรื่องปิดปากไม่ให้ข้าพเจ้าพูดเสียเลย

 

ซุนกวนสั่งให้ทหารทั้งหมดถอยออกไปจากห้อง แล้วเชิญเตงจี๋นั่งในที่อันสมควร  แล้วถามว่า เรื่องของโจผีกับเสฉวนตอนนี้เป็นอย่างไร ท่านจงบอกข้าพเจ้ามาตามตรง เตงงี๋ตอบว่า ท่านปรารถนาจะมีสันติภาพกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนหรือกับพระเจ้าโจผีละ

 

พระเจ้าซุนกวนบอกว่า เราอยากจะมีสันติภาพกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนยังเยาว์ความนัก จะเจรจาความอันใดกันก็มิได้ เตงจี๋ก็บอกว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังเยาว์ความอยู่ แต่ขงเบ้งสมุหนายก เป็นหลักบ้านหลักเมืองที่ท่านจะเจรจากันได้  ท่านย่อมทราบอยู่แล้วว่า ราชอาณาจักรเสฉวนนั้น มีธรรมชาติป่าและเขาเป็นกําแพงป้องกันตัว เช่นเดียวกับอาณาจักรกังตั๋งมีแม่น้ําสายใหญ่เป็นคูเมือง ถ้าหากเราทั้งสองประเทศมีสันติภาพต่อกัน ใครจะกล้ามารุกราน ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราจะแผ่อํานาจไปยังดินแดนอื่นๆ อีก ก็ย่อมจะทําได้โดยง่าย หรือว่าจะต่างคนต่างอยู่ ก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านจะสมัครจะขึ้นอยู่กับพระเจ้าโจผีหรือไม่ ถ้าท่านขึ้นอยู่กับเขา ท่านก็ต้องไปอ่อนน้อมเขาถึงราชสํานัก ลูกหลานก็จะต้องไปเป็นขี้ข้าอยู่ในราชสํานักของเขาตลอดไป ถ้าหากไม่ยอมอ่อนน้อมกับเขา แล้วไม่ยอมเป็นมิตรกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนด้วย พระเจ้าโจผีก็จะต้องส่งกองทัพมาตีท่าน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็จะต้องส่งกองทัพมาตีด้วย แล้วท่านจะอยู่ในกังตั๋งต่อไปได้อย่างไร ก็ขอให้ท่านใตร่ตรองดูให้ดี ถ้าหากท่านไม่เชื่อในคําพูดของข้าพเจ้า และไม่ยอมรับความเป็นมิตรของเสฉวน  ข้าพเจ้าก็จะกระโจนลงกระทะทองแดงให้ประจักษ์ในความจริงใจของข้าพเจ้าเสียเลย

 

ว่าแล้วเตงจี๋เดินดุ่มไปยังกระทะน้ํามัน ทําท่าจะกระโดดลงไป ซุนกวนตกใจ รีบวิ่งเข้ารั้งข้อมือเตงจี๋เอาไว้ แล้วพาเข้าไปในห้องให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ แล้วพูดกับเตงจี๋ว่า เราจับใจในคําพูดของท่าน บัดนี้ตกลงใจแล้วจะผูกมิตรกับเสฉวน ท่านเป็นคนกลางช่วยติดต่อให้ก็แล้วกัน

 

เตงจี๋ส่ายหน้า เมื่อกี้นี้ ท่านยังจะจับข้าพเจ้าโยนลงกระทะทองแดง ตอนนี้จะใช้ให้เป็นคนกลาง คนที่มีจิตใจรวนเรอย่างนี้ จะให้ข้าพเจ้าเชื่อถือวางใจได้อย่างไร ซุนกวนก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า ตอนนี้ไม่รวนเรแล้ว ท่านไม่ควรระแวงแคลงใจอะไรอีกต่อไป

 

ว่าแล้วก็ให้เตงจี๋รอก่อน แล้วสั่งให้เรียกประชุมขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนพร้อมกัน  ซุนกวนกล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศเรานี้กว้างขวางใหญ่โตเสียเปล่า สู้ประเทศเล็กๆอย่างเสฉวนก็ไม่ได้ เสฉวนมีทูตฝีปากเอกเข้ามาเจรจากับข้าพเจ้า เจ้านายเขาใช้มาอย่างไร เขาก็ทําได้อย่างนั้น ข้าพเจ้าใคร่จะส่งทูตไปเจรจากับเสฉวนบ้าง นึกไม่ออกจะส่งใครไปดี

 

เตียวอุ๋นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ลุกขึ้นขออาสาไปเสฉวน ซุนกวนก็เลยว่า เกรงว่าคนอย่างเจ้าพอไปถึงหน้าขงเบ้ง สงสัยจะพูดอะไรไม่ออก เตียวอุ๋นตอบว่า ท่านคิดว่าข้าพเจ้ากลัวขงเบ้งหรืออย่างไร ขงเบ้งเป็นคน ข้าพเจ้าก็เป็นคน ขงเบ้งเหาะไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ เหาะไม่ได้ จะกลัวอะไรกัน ข้าพเจ้าไม่เคยกลัวอะไรเลย ซุนกวนพอใจในความปากกล้าของเตียวอุ๋น ก็เลยตั้งให้เตียวอุ๋นเป็นฑูตเดินทางไปเสฉวนกับเตงจี๋