เกร็ดความรู้จากพุทธศาสนา

 

มหาปทุมชาดก ว่าด้วยมหาปทุมกุมาร
10 เม.ย. 2559

 

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงพระปรารภ นางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

 

ความพิสดารว่า ครั้งปฐมโพธิกาล เมื่อพระสาวกของพระทศพลมีมากขึ้น เทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิหาประมาณไม่ได้ คุณของพระศาสดาได้แผ่ไปทั่ว ลาภสักการะได้เกิดขึ้นมามากมาย พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เหมือนหิ่งห้อยเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงพากันเที่ยวยืนกลางถนน ชักชวนคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าผู้เดียวเมื่อไรเล่า แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายพระสมณโคดมมีผลมาก แม้ที่ถวายแก่พวกเราก็มีผลมากเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงทำทานแก่พวกเราบ้าง ดังนี้ แม้จะกระทำเช่นนั้นก็ไม่ได้ลาภสักการะ จึงประชุมลับหารือกันว่า พวกเราใช้อุบายอย่างไรดีหนอ จึงจะสร้างความผิดของพระสมณโคดมขึ้นในหมู่มนุษย์ แล้วทำลาภสักการะของท่านให้ฉิบหายไปได้.

 

ครั้งนั้น ในพระนครสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อ จิญจมาณวิกา มีรูปร่างงามเลิศดุจเทพอัปสร มีรัศมีซ่านออกจากร่างของนาง เดียรถีย์คนหนึ่งมีความคิดกล้า ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราพึงอาศัยนางจิญจมาณวิกา สร้างความผิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้ฉิบหาย พวกเดียรถีย์ต่างรับว่าอุบายของท่านเข้าที

 

ครั้งนั้น นางจิญจมาณวิกามาสู่อารามเดียรถีย์ ไหว้ แล้วยืนอยู่ พวกเดียรถีย์มิได้พูดกับนาง นางจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ถึงสามครั้ง แต่ท่านทั้งหลายจึงไม่พูดกับดิฉัน ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีความผิดอย่างไรหนอ

 

พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่าพระสมณโคดมเบียดเบียนพวกเรา เที่ยวทำให้พวกเราเสื่อมลาภสักการะ

 

นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า ดิฉันไม่รู้เจ้าข้า ก็ดิฉันควรจะทำอย่างไรในเรื่องนี้

 

ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาหาความสุขแก่พวกเรา จงใช้ตัวของเจ้าสร้างความไม่ดีขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้ฉิบหาย

 

นางรับว่า ดีละเจ้าข้า เรื่องนี้เป็นภาระของดิฉัน ขอท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย แล้วนางก็ลาจากไป โดยที่นางเป็นผู้ฉลาดในมายาหญิง ตั้งแต่นั้นมา เวลาชาวพระนครสาวัตถีฟังธรรมกถาแล้วออกจากพระเชตวัน นางห่มผ้าสีดังแมลงค่อมทอง ถือของหอมแลดอกไม้เป็นต้น เดินตรงไปพระเชตวัน เมื่อมีคนถามว่า จะไปไหนเวลานี้ นางก็กล่าวว่า ท่านจะมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยในเรื่องที่ฉันจะไปที่ไหน แล้วก็หลบเข้าอารามเดียรถีย์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ พระเชตวัน

 

ครั้นเวลาเช้า เมื่อพวกอุบาสกออกจากพระนครเพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นางก็ทำเป็นอยู่ในพระเชตวันแล้วเข้าพระนคร เมื่อมีใครถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน นางก็กล่าวว่า ท่านจะมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยในเรื่องที่ฉันจะอยู่ที่ไหน ครั้นล่วงไปเดือนสองเดือน ถูกถามอีก นางก็กล่าวว่า ฉันอยู่ร่วมคันธกุฎีกับพระสมณโคดมในพระเชตวัน เรื่องนี้ได้ทำความสงสัยแก่พวกปุถุชนว่า เรื่องที่นางจิญจมาณวิกาพูดนี้ จริงหรือไม่หนอ

 

ครั้นล่วงไปสามสี่เดือน นางก็เอาผ้าขี้ริ้วมาพันท้อง ทำเป็นหญิงมีท้อง เอาผ้าแดงคลุมข้างบน ทำให้พวกอันธพาลเชื่อว่า มีท้องกับพระสมณโคดม ครั้นล่วงไปแปดเก้าเดือน นางก็เอาไม้วงกลมผูกไว้ที่ท้อง เอาผ้าคลุมข้างบน ให้พวกเดียรถีย์เอาไม้ทุบหลังมือหลังเท้าให้บวมเหมือนสตรีมีครรภ์

 

ครั้นเวลาเย็น เมื่อพระตถาคตนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่ตกแต่งไว้ นางไปธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์พระตถาคตเหมือนหญิงที่พยายามเอาก้อนคูถขว้างดวงจันทร์ ด่าพระตถาคตในท่ามกลางบริษัททีเดียวว่า แน่ะมหาสมณะ ท่านแสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของท่านไพเราะ ริมฝีปากสนิทดี แต่ฉันมีท้องเพราะท่าน เวลานี้ก็ครบกำหนดแล้ว ท่านยังไม่เตรียมเรือนคลอดแก่ฉัน เนยใสและน้ำมันเป็นต้นก็ยังไม่มี เมื่อท่านไม่ทำเอง ก็ไปบอกแก่อุปัฏฐากของตนคนใดคนหนึ่งเช่นพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา ว่าจงช่วยทำสิ่งที่ควรทำแก่นางจิญจมาณวิกานี้ ท่านรู้จักแต่อภิรมย์เท่านั้น ไม่รู้จักบริหารครรภ์

 

พระตถาคต ได้ทรงสดับดังนั้น จึงหยุดธรรมกถา มีอาการดุจพระยาสีหะ ทรงบันลือพระสุรสิงหนาทว่า น้องหญิง ฉันกับเธอสองคนเท่านั้น รู้คำที่เธอกล่าวว่า จริง หรือ ไม่จริง

 

นางจิญจมานวิกากล่าวว่า ถูกแล้ว พระสมณะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะท่านกับฉันรู้กัน.

 

ขณะนั้น ภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกะพิจารณาดู ก็ทรงทราบว่า นางจิญจมาณวิกาด่าพระตถาคต ด้วยเรื่องไม่เป็นจริง จึงทรงดำริว่าจักชำระเรื่องนี้ แล้วเสด็จมากับเทพบุตรสี่องค์ เทพบุตรเหล่านั้น แปลงเพศเป็นลูกหนู เข้าไปกัดเชือกผูกไม้วงกลมพร้อมกัน ได้มีลมพัดเปิดผ้าคลุมขึ้น ไม้วงกลมตกลงถูกหลังเท้านางจิญจมาณวิกา ปลายเท้าทั้งสองแตก

 

พวกมนุษย์เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า อีกาลกรรณี มึงด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และช่วยกันถ่มน้ำลายรดศีรษะ ถือก้อนดินท่อนไม้ขับออกจากพระเชตวัน พอนางจิญจมาณวิกาได้พ้นคลองจักษุพระตถาคต แผ่นดินใหญ่แยกเป็นช่อง เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจี โอบอุ้มนางจิญจมาณวิกา เหมือนกับห่มผ้ากัมพล จมลงไปในอเวจี ลาภสักการะของอัญเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป แต่ของพระทศพลเจริญยิ่งขึ้นเหลือประมาณ.

 

วันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า ดูก่อน อาวุโสทั้งหลาย นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอัครทักษิไณย บุคคลอันโอฬาร ด้วยเรื่องไม่จริง ถึงความพินาศใหญ่

 

พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่นางจิญจมาณวิกานี้ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริง แล้วถึงความพินาศ แม้ในกาลก่อน นางก็ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริง แล้วถึงความพินาศเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้.

 

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระญาติทั้งหลายถวายพระนามพระโพธิสัตว์ว่า ปทุมกุมาร เพราะมีพระพักตร์แลดูเหมือนดอกบัวบาน

 

พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว ไปเรียนศิลปวิทยาทั้งปวงสำเร็จแล้วกลับมา ต่อมาเมื่อพระชนนีของพระองค์สิ้นพระชนม์ พระราชาได้แต่งตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส ต่อมา พระราชาเสด็จไปปราบปัจจันตประเทศที่กำเริบขึ้น รับสั่งกับพระอัครมเหสีว่า น้องรัก เธอจงอยู่ที่นี้แหละ ฉันจะไปปราบปัจจันตประเทศ พระนางทูลว่า หม่อมฉันจะไม่อยู่ที่นี่ จักขอโดยเสด็จด้วย พระองค์ตรัสถึงความลำบากในสนามรบให้ฟัง แล้วตรัสว่า เธอจงอย่ากระวนกระวาย อยู่จนกว่าฉันจะมา ฉันจะสั่งปทุมกุมารมิให้ลืมกิจการที่ควรกระทำแก่เธอ ดังนี้แล้ว ทรงกระทำตามที่ตรัส แล้วเสด็จไปขับไล่ปัจจามิตร ทำชนบทให้สงบราบคาบแล้วเสด็จกลับมาตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร.

 

พระโพธิสัตว์ทราบว่าพระชนกเสด็จมา จึงให้ประดับพระนคร ตกแต่งพระราชมณเฑียร แล้วไปสำนักพระอัครมเหสีแต่พระองค์เดียว พระอัครมเหสีเห็นรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตรักใคร่ พระโพธิสัตว์ถวายบังคมพระนางแล้ว ทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าประสงค์สิ่งใด หม่อมฉันจะทำถวาย

 

ลำดับนั้น พระนางตรัสว่า เธออย่าเรียกฉันว่าแม่ เสด็จลุกขึ้นจูงมือพระโพธิสัตว์ตรัสว่า เธอจงขึ้นบนพระที่เถิด

 

ทูลถามว่า เพื่ออะไร

 

ตรัสว่า เราทั้งสองจักรื่นรมย์ด้วยความยินดีในกิเลส ชั่วเวลาที่พระราชายังไม่เสด็จมา

 

ข้าแต่พระแม่เจ้า เสด็จแม่เป็นแม่ของหม่อมฉันด้วยยังมีพระสามีอยู่ด้วย ขึ้นชื่อว่าหญิงที่มีผู้หวงแหน หม่อมฉันไม่เคยทำลายอินทรีย์แลดูด้วยอำนาจกิเลสเลย หม่อมฉันจักทำกรรมที่เศร้าหมองถึงเพียงนี้กับพระแม่อย่างไรได้

 

พระนางได้ตรัสถึงสองสามครั้ง เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนา พระนางจึงตรัสว่า เจ้าจะไม่ทำตามคำของเราหรือ

 

ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันทำไม่ได้

 

ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักกราบทูลแด่พระราชา แล้วให้ตัดศีรษะของท่านเสีย

 

พระมหาสัตว์ตรัสว่า จงทำตามชอบของพระแม่เจ้าเถิด ได้ทำให้พระนางละอายพระทัยแล้วหลบไป.

 

พระนางมีความสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า ถ้ากุมารนี้ไปกราบทูลพระบิดาก่อนเรา เราคงไม่รอดชีวิต เราจักกราบทูลเสียก่อน ทรงดำริเช่นนี้แล้ว ไม่เสวยกระยาหาร ทรงนุ่งห่มผ้าเศร้าหมอง ทำให้มีรอยเล็บที่พระสรีระ แล้วสั่งพวกหญิงคนใช้ว่า เมื่อพระราชาตรัสถามว่า พระเทวีเสด็จไปไหน ท่านทั้งหลายจงทูลว่า เป็นไข้ แล้วก็ลวงว่าเป็นไข้บรรทมอยู่

 

พระราชาทรงทำประทักษิณพระนครแล้วเสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ เมื่อไม่เห็นเทวี จึงตรัสถามว่า พระเทวีไปไหน ทรงสดับว่าเป็นไข้ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี พระน้องไม่สบายไปหรือ

 

พระนางทำเป็นไม่ได้ยินดำรัสพระราชา แม้ถูกถามถึงสองสามครั้ง ก็นิ่งเสีย พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี เหตุไรจึงไม่พูดกับฉัน

 

พระนางทูลว่า บรรดาหญิงที่มีสามีแล้วไม่มีใครเขาเป็นเหมือนหม่อมฉัน

 

พระราชาตรัสถามว่า ใครเบียดเบียนพระน้องหรือ จงบอกพี่เร็ว พี่จักตัดหัวมันเสีย

 

พระนางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงตั้งใครรักษาพระนครแล้วเสด็จไป

 

ตรัสว่า ตั้งเจ้าปทุมกุมารโอรสของเรา

 

พระนางทูลว่า ปทุมกุมารมาที่อยู่ของหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันจะกล่าวว่า แน่ะพ่อ เจ้าอย่าทำอย่างนี้ ฉันเป็นแม่ของเจ้า ปทุมกุมารกล่าวว่า นอกจากเรา คนอื่นชื่อว่าเป็นพระราชาไม่มี เราจักให้พระนางอยู่ในพระราชฐาน รื่นรมย์กันด้วยความยินดีแห่งกิเลส แล้วจับมวยผมของหม่อมฉันทิ้งไปมา เมื่อหม่อมฉันไม่ยอมทำตามคำของตน ก็ทุบตีแล้วออกไป.

 

พระราชาไม่ทรงพิจารณาก่อน ทรงพระพิโรธดังอสรพิษ รับสั่งพวกราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไปมัดปทุมกุมารนำมา พวกราชบุรุษพากันไปวังปทุมกุมาร เหมือนอย่างกะแห่ไปเต็มเมือง จับปทุมกุมารทุบตีแล้วมัดมือไพล่หลังอย่างมั่นคง เอาโซ่คล้องคอ กระทำเสมือนเป็นนักโทษประหารชีวิต ทุบตีพลางนำไปพลาง

 

พระโพธิสัตว์คิดว่า นี้เป็นการกระทำของเทวี จึงเดินบ่นมาว่า ดูก่อน บุรุษผู้เจริญทั้งหลาย เรามิได้ประทุษร้ายพระราชา เราไม่มีความผิดเลย ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันโจทกันว่า ได้ยินว่า พระราชาเชื่อคำผู้หญิง รับสั่งให้ฆ่าพระมหาปทุมกุมาร ประชุมกันกลิ้งเกลือกแทบเท้าพระกุมาร ร่ำไรรำพันด้วยเสียงดังว่า ข้าแต่นาย กรรมนี้ไม่สมควรแก่ท่านเลย

 

ขณะนั้น พวกราชบุรุษนำพระกุมารไปเข้าเฝ้าพระราชา พระราชาทอดพระเนตรแล้วไม่อาจข่มพระพิโรธได้ จึงมีรับสั่งว่า กุมารนี้ไม่ใช่พระราชาเลย ทำท่าทีเป็นพระราชา เป็นโอรสของเรา ผิดในพระอัครมเหสี ไปเถิด พวกท่านจงจับกุมารทิ้งในเหว เป็นที่ทิ้งโจรให้ถึงความพินาศเสีย

 

พระมหาสัตว์วิงวอนพระชนกว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่มีความผิดถึงเพียงนี้เลย ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อคำของผู้หญิงทำให้หม่อมฉันพินาศเลย

 

พระราชามิได้ทรงเชื่อถ้อยคำของพระโพธิสัตว์ ลำดับนั้น นางสนมหมื่นหกพันพากันร้องไห้เซ็งแซ่ว่า พ่อมหาปทุมกุมาร พ่อได้รับกรรมอันนี้ ซึ่งไม่สมควรแก่ตนเลย พวกผู้ใหญ่ทั้งหมด มีกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ตลอดจนอำมาตย์ราชเสวกทั้งหลายพากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยคุณ คือศีลาจารวัตรเป็นรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อคำของผู้หญิงแล้วทำพระกุมารให้พินาศโดยไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนเลย วิสัยพระราชา ต้องใคร่ครวญก่อนจึงกระทำลงไป แล้วกล่าวคาถา ๗ คาถาว่า

 

- พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่เห็นโทษของผู้อื่นว่าน้อยหรือมาก โดยประการทั้งปวง ไม่พิจารณาด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว ไม่พึงลงอาชญา.

- กษัตริย์พระองค์ใด ยังไม่ทันพิจารณาแล้วทรงลงพระราชอาชญา กษัตริย์พระองค์นั้นชื่อว่า ย่อมกลืนกินพระกระยาหารพร้อมด้วยหนาม เหมือนคนตาบอดกลืนกินอาหารพร้อมด้วยแมลงวัน ฉะนั้น.

- กษัตริย์พระองค์ใด ทรงลงพระราชอาชญากับผู้ไม่ควรจะลงพระราชอาชญา ไม่ทรงลงพระราชอาชญากับผู้ที่ควรลงพระราชอาญา กษัตริย์พระองค์นั้นเป็นเหมือนคนเดินทางไม่ราบเรียบ ไม่รู้ว่าทางเรียบหรือไม่เรียบ.

-กษัตริย์พระองค์ใด ทรงเห็นเหตุที่ควรลงพระราชอาชญา และไม่ควรลงพระราชอาชญา และทรงเห็นเหตุนั้น โดยประการทั้งปวงเป็นอย่างดีแล้ว ทรงปกครองบ้านเมือง กษัตริย์พระองค์นั้น สมควรปกครองราชสมบัติ.

-กษัตริย์ผู้มีพระทัยอ่อนโยนโดยส่วนเดียว หรือมีพระทัยกล้าโดยส่วนเดียว ก็ไม่อาจที่จะดำรงพระองค์ไว้ในอิสริยยศที่สูงใหญ่ได้ เพราะเหตุนั้น กษัตริย์ไม่พึงประพฤติเหตุทั้งสอง คือ พระทัยอ่อนเกินไป และกล้าเกินไป.

-กษัตริย์ผู้มีพระทัยอ่อน ก็ถูกประชาราษฎร์ดูหมิ่น กษัตริย์ผู้มีพระทัยแข็งนักก็มีเวร กษัตริย์ควรทราบเหตุทั้งสองอย่างแล้ว ประพฤติเป็นกลางๆ .

-ข้าแต่พระราชา คนมีราคะย่อมพูดมาก แม้คนมีโทสะก็พูดมาก พระองค์ไม่ควรจะให้ปลงพระชนม์พระราชโอรส เพราะเหตุแห่งหญิงเลย.

 

แม้อำมาตย์ราชเสวกทั้งหลายจะพากันกราบทูลด้วยเหตุต่างๆ อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้พระราชาเชื่อถ้อยคำของตนได้ แม้พระโพธิสัตว์ก็วิงวอนอยู่ ก็ไม่อาจให้พระราชาเชื่อถ้อยคำของตนได้ ฝ่ายพระราชาผู้เป็นอันธพาล เมื่อจะทรงบังคับอำมาตย์ว่า ไปเถิด พวกท่านจงจับปทุมกุมารนั้นทิ้งลงในเหวทิ้งโจร ได้ตรัสพระคาถาที่ ๘ ว่า

 

- ด้วยเหตุใด ประชาชนทั้งหมดจึงร่วมกันเป็นพวกพ้องของเจ้าปทุมกุมาร ส่วนพระมเหสีนี้พระองค์เดียวเท่านั้นไม่มีพวกพ้อง ด้วยเหตุนั้น เราจักปฏิบัติตามคำของพระมเหสี ท่านทั้งหลายจงไป จงโยนเจ้าปทุมกุมารลงไปในเหวทีเดียว.

 

เมื่อพระราชามีพระราชโองการตรัสอย่างนี้แล้ว นางพระสนมทั้งหมื่นหกพันคน สักคนหนึ่งก็ไม่อาจดำรงสติของตนอยู่ได้ พากันร้องไห้คร่ำครวญ ชาวพระนครทั้งสิ้นกอดอกร้องไห้สยายผมพิลาปรำพันอยู่ พระราชาทรงดำริว่า คนเหล่านี้จะห้ามการทิ้งกุมารลงเหว จึงเสด็จไปพร้อมด้วยบริวาร ต่อหน้ามหาชนที่กำลังคร่ำครวญอยู่นั่นแล จึงรับสั่งให้จับปทุมกุมารเอาพระบาทขึ้นเบื้องบน เอาพระเศียรลงเบื้องล่าง แล้วให้โยนลงไปในเหว

 

ทันใดนั้น ด้วยอานุภาพเมตตาภาวนาของปทุมกุมาร เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ภูเขา ได้ปลอบโยนพระกุมารว่า อย่ากลัวเลย พ่อมหาปทุม แล้วกางมือทั้งสองออกรองรับไว้ที่หทัย ให้ได้สัมผัสทิพยรส แล้วพาไปประทับ ณ ห้องพังพานของพญานาคในนาคพิภพ ซึ่งตั้งอยู่เชิงภูเขา พญานาคได้นำพระโพธิสัตว์ไปสู่นาคพิภพแล้ว แบ่งสมบัติของตนให้ครองครึ่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี กล่าวว่า เราจักไปแดนมนุษย์

 

พญานาคถามว่า ท่านจักไปที่ไหน

 

เราจักไปบวช ณ หิมวันตประเทศ

 

พญานาครับว่า สาธุ แล้วพาพระโพธิสัตว์ไปส่งถึงแดนมนุษย์ ให้บริขารบรรพชิตแล้วกลับไปที่อยู่ของตน.

 

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เข้าหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิด มีเผือกมันผลไม้เป็นอาหารอาศัยอยู่ในที่นั้น ครั้งนั้นนายพรานชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ไปถึงที่นั้น จำพระโพธิสัตว์ได้จึงถามว่า ข้าแต่พระองค์ ท่านคือมหาปทุมกุมารมิใช่หรือ เมื่อพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ถูกแล้ว สหาย พรานนั้นก็ได้นมัสการพระโพธิสัตว์ เมื่ออยู่ที่นั้นได้สองสามวันแล้วก็กลับไปเมืองพาราณสี กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ พระโอรสของพระองค์บวชเป็นฤาษี อยู่ในบรรณศาลา ณ หิมวันตประเทศ ข้าพระองค์ได้อาศัยอยู่ในสำนักพระโอรสนั้นสองสามวันแล้วลามา

 

พระราชาตรัสถามว่า ท่านเห็นแน่ชัดแล้วหรือ

 

กราบทูลว่า ถูกแล้วพระองค์

 

พระราชาแวดล้อมด้วยพลนิกายเป็นอันมาก เสด็จไป ณ ที่นั้น ตั้งค่ายพักพลอยู่ที่ชายป่า พระองค์แวดล้อมไปด้วยอำมาตย์ เสด็จไปบรรณศาลา ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์มีสิริรุ่งโรจน์ประดุจรูปทอง ประทับนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ถวายนมัสการแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พวกอำมาตย์นมัสการทำปฏิสันถารนั่งแล้ว พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสันถารพระราชาด้วยผลไม้.

 

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ เราให้เขาโยนท่านลงเหวลึก อย่างไรท่านจึงมีชีวิตอยู่ได้ ได้ตรัสพระคาถาที่ ๙ ว่า

 

-ท่านเป็นผู้อันเราให้โยนลงในเหวอันลึกหลายชั่วลำตาล เหมือนนรกยากที่จะขึ้นได้ เหตุไร ท่านจึงไม่ตายอยู่ในเหวนั้น?

 

พระกุมารทูลว่า พญานาคผู้มีกำลังเรี่ยวแรงเกิดที่ข้างภูเขา รับอาตมภาพในที่นั้นด้วยขนดหาง เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงมิได้ตายในที่นั้น.

 

พระราชาตรัสว่า ดูกรพระราชบุตร มาเถิด เราจักนำเจ้ากลับไปสู่พระราชวัง จะให้เจ้าครอบครองราชสมบัติ ขอความเจริญจงมีแก่เจ้าเถิด เจ้าจักมาทำอะไรอยู่ในป่าเล่า?

 

พระกุมารทูลว่า บุรุษกลืนกินเบ็ดแล้วปลดเบ็ดที่เปื้อนโลหิตออกได้ แล้วพึงมีความสุขฉันใด อาตมภาพมองเห็นด้วยตนเอง ฉันนั้น.

 

พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า  เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าเป็นเบ็ด เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าเบ็ดเปื้อนโลหิต เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าปลดออกได้ เราถามแล้ว ขอเจ้าจงบอกความข้อนั้นแก่เรา?

 

ดาบสทูลว่า ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพกล่าวกามคุณว่าเป็นเบ็ด กล่าวช้างและม้าว่าเบ็ดเปื้อนโลหิต กล่าวถึงการสละได้ว่าปลดออกได้ ขอมหาบพิตรจงทรงทราบอย่างนี้เถิด.

 

พระมหาสัตว์ได้ถวายโอวาทแก่พระชนกว่า ข้าแต่พระมหาบพิตร กิจด้วยราชสมบัติไม่มีแก่อาตมา ขอพระองค์อย่ายังทศพิธราชธรรมให้กำเริบ จงละการลุอำนาจอคติเสีย ครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด

 

พระราชาทรงกันแสงคร่ำครวญ เสด็จกลับพระนคร ในระหว่างทางได้ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า เราต้องพลัดพรากจากบุตรที่สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณเห็นปานนี้เพราะใคร พวกอำมาตย์กราบทูลว่า เพราะพระอัครมเหสีพระเจ้าข้า พระราชามีรับสั่งให้จับพระอัครมเหสี เอาพระบาทขึ้นเบื้องบนโยนลงไปในเหวทิ้ง โจร แล้วทรงครองราชสมบัติโดยธรรม.

 

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน นางจิญจมาณวิกานี้ก็ด่าเราแล้วถึงความพินาศมาแล้วอย่างนี้ ทรงประชุมชาดกด้วยคาถาสุดท้ายว่า  พระราชมารดาของเรา คือ นางจิญจมานวิกา พระราชบิดาของเรา คือ พระเทวทัต พญานาค คือ พระอานนท์ บัณฑิต และเทวดา คือ พระสารีบุตร พระราชบุตรในกาลนั้น คือ เราตถาคต ท่านทั้งหลายจงจำชาดกไว้อย่างนี้เถิด.

 

จบ มหาปทุมชาดก

 

จากเวป http://www.dharma-gateway.com/