ฮวงจุ้ย
- ฮวงจุ้ยพื้นฐาน
- รูปภาพและความหมาย
- ฮวงจุ้ยสำนักงาน
- ฮวงจุ้ยที่ดิน
- ฮวงจุ้ยร้านค้า
- ฮวงจุ้ยบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
- ข้อห้ามเกี่ยวกับการเลือกที่อยู่อาศัย
- ทำเลเสียดูอย่างไร
- ดาว ๙ ยุคคืออะไร
- ดวงจีน
- การดูลักษณะภูเขา
- กรณีศึกษาฮวงจุ้ย
- ประสบการณ์การดูทำเลของอาจารย์แอน
ผลงานและบทความพิเศษของอาจารย์แอน
- คำคม..ข้อคิด
- เกร็ดความรู้จากพุทธศาสนา
- เกร็ดความรู้ที่ได้จากวรรณคดี
- บทความพิเศษ
ฮวงจุ้ยพื้นฐาน
ดอกทานตะวัน
9 ก.ค. 2560
9 ก.ค. 2560
โดยหลักวิชาแล้ว ดาวพุธยังหมายถึงดอกไม้ แล้วยิ่งในช่วงที่ดาวพุธโคจรไม่เป็นปกตินัก จะก่อให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวาย พูดจากันไม่ค่อยจะเข้าหู ฟังไม่รื่นหูนัก สิ่งที่พวกเราใช้แก้ไขดาวพุธที่เสีย ก็คือดอกไม้เช่นกัน พุธแก้พุธ เพราะดาวพุธ (๔) หมายถึงต้นไม้ใบเขียว เป็น (๔) ที่ออกดอกออกผล หมายถึงว่ามีผลแล้วและผลนั้นเป็นผลสำเร็จ เหมือนจะพูดอะไรออกมาก็เป็นภาษาดอกไม้ไปหมด
หนึ่งในจำนวนดอกไม้ที่มีการแนะนำให้ใช้มาจัดปรับแก้ไขทำเล คือ ดอกทานตะวัน โดยเอารูปหรือสัญลักษณ์ของดอกทานตะวันมาใช้ นอกจากดอกทานตะวันแล้ว ยังมีดอกกุหลาบซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะมีความหมายดี หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง บานบุรีหมายถึงความเบิกบานสำราญใจ ทองอุไรก็มีความหมายที่ดี รวมทั้งดอกไม้สีเหลืองอีกหลาย ๆ ชนิด ที่อาจารย์แอนได้แนะนำว่าใช้ได้ เช่น ดาวเรือง ผกากรอง ล้วนมีความหมายที่ดี เป็นดอกไม้ที่นำความสดชื่นมาให้
แต่เมื่อพูดถึงดอกทานตะวัน หลาย ๆ คนยังคงสงสัยว่ามีความหมายถึงอะไร ทำไมอาจารย์แอนจึงให้มีรูปดอกทานตะวันไว้ในบางที่บางแห่ง
ประวัติโดยย่อของดอกทานตะวัน ถือกำเนิดโดยการนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น นำมาปลูกที่คลองตะเคียน พระนครศรีอยุธยา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๑๙๙ ตั้งแต่สมัยอยุธยานานมากมาแล้ว ต่อมาต้นทานตะวันได้มีการปลูกแพร่หลายเป็นไม้ประดับที่นิยมในประเทศไทย
ทานตะวัน แปลว่า การทาน กั้น ขวางตะวัน หรือ ต่อต้าน กั้นตะวัน หากเราสังเกตดูให้ดี จะเห็นว่าดอกทานตะวันจะหันดอกเข้าหาตะวัน (พระอาทิตย์) เสมอ จนบางคนถึงกับกล่าวว่า น่าที่จะเรียกว่า “ดอกตามตะวัน” จะเหมาะกว่า แต่ในอีกความหมายก็ว่า “ทานตะวัน” คือเป็นเหมือนกับการทนทานกับแสงแดด หรือแสงอาทิตย์ เพราะมันหันหน้าเข้าหาอยู่ตลอดเวลา จึงน่าจะแปลได้ความหมายเป็นอย่างหลังมากกว่า
อีกนัยหนึ่งคือ “ไม่ถึงตะวัน” ถึงจะมีความทนทานต่อแสงอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่สามารถไปถึงตะวันได้
ในเรื่องของเทวปกรฌัม ยังได้กล่าวถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อไคลที (Clytie) อาศัยอยู่ถ้ำใต้ทะเลลึก มีแต่ทราย หอยและเปลือกหอย โดยอาศัยนอนอยู่ในเปลือกหอยก้นทะเล ไม่เคยขึ้นมาบนฝั่ง มีแต่คลื่นสีเขียวอยู่ใต้น้ำทะเล เนื่องจากแสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง นางฟ้าไคลทีเป็นเทพีแห่งน้ำ เกิดในน้ำหรืออาจเรียกว่าพรายน้ำก็ว่าได้ อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสงบเรื่อยมาจนเติบโตขึ้นเป็นสาวน้อย
อยู่มาจนกระทั่งวันหนึ่งเกิดมีพายุพัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพัดลงไปถึงข้างล่างใต้ทะเลเลย พัดอยู่เพียงพื้นผิวน้ำชั้นบนเท่านั้น แต่คราวนี้ได้เกิดพายุพัดกระหน่ำเป็นคลื่นม้วนตัวลงไปข้างใต้น้ำ แล้วพัดพาเอาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างใต้นั้นขึ้นมาอยู่ข้างบนแทน ซึ่งไคลทีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ต้องขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์
เมื่อถูกคลื่นทะเลซัดขึ้นมาถึงฝั่ง ฟื้นคืนสติ ก็มองเห็นแสงแดด มองเห็นพืชพันธุ์ต้นไม้ต่าง ๆ ที่สวยงาม และที่สวยที่สุดก็คือแสงแห่งตะวันที่สาดส่องลงมาตรงบริเวณเกาะหรือตรงพื้นแผ่นดินนั้น ส่องไปทุก ๆ ที่ที่ไคลทีมอง
ไคลทีเพิ่งได้มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก ก็เกิดความรักในพระอาทิตย์ขึ้นมา คือรักเทพอพอลโล (Apollo) เพราะเห็นความงามของอพอลโล นางจึงปฏิญาณว่าจะไม่ลงไปสู่ใต้ทะเลอีก จะขออยู่บนเกาะตลอดไปเพื่อติดตามดูตะวันทุก ๆ วัน จะขออยู่ดูความงามแห่งพระอาทิตย์ ดูความงดงามแห่งเทพอพอลโล ตั้งแต่รุ่งอรุณจนยามเย็น จะหันตามดูตลอดเวลา
จนกระทั่งเทวดาสงสารนาง เพราะเทพอพอลโล ไม่เคยเหลียวแลเลย จึงได้ช่วยกันบันดาลให้ในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่ไคลทียืนมองตะวันอยู่ที่บนฝั่งทะเล ให้เท้านั้นหยั่งลึกลงไปในดิน เครื่องแต่งกายให้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสีเขียว ผมจากสีทองให้กลายเป็นสีเหลืองล้อมดวงหน้าไว้ แล้วให้ดวงตาที่คอยมองตามพระอาทิตย์นั้นเป็นสีน้ำตาล จึงกลายเป็นดอกทานตะวันที่สวยงามที่เฝ้ามองตามพระอาทิตย์ที่ขึ้นและลงข้ามขอบฟ้าในทุกวัน ๆ ดอกทานตะวันจึงมีรูปลักษณ์อย่างที่เราเห็นเป็นดอกไม้แสนงามในปัจจุบันนี้เอง