บทความพิเศษ

 

พิชัยสงคราวกับสามก๊ก ตอนที่ ๓/๑ - เปรียบเทียบทำเลเมืองลั่วหยาง ซีอาน
21 พ.ย. 2558

 

ตั๋งโต๊ะ แลดูโหงวเฮ้งของหองจูเหียบมีความมั่นใจ คงไม่พลาดแน่ จัดว่าเป็นความสามารถของตั๋งโต๊ะประการหนึ่ง ในการดูลักษณะคนเพื่อให้ได้ประโยชน์ฝ่ายตน
 
โหงวเฮ้งอย่างไร ที่เรียกว่า ดี”  ปรกติลักษณะที่แสดงความเฉลียวฉลาด คือ หน้าผากที่โหนกนูนแสดงถึงสติปัญญา และต้องมีแววตาที่กระจ่างด้วย เข้าใจว่า ลักษณะของหองจูเหียบ คงเป็นดังที่ว่าเพียงแต่แววตาเท่านั้น อาจดูหมองเศร้า เพราะแม้จะฉลาด แต่ก็ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์บีบบังคับ ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ดวงตา คือ ดาวจันทร์ แสดงว่า ดาวจันทร์ จะต้องอยู่ในภพที่สิบสองจากลัคนา คือเป็นจันทร์พินทุบาทว์ ซึ่งจะมีลักษณะแววตาที่หมองเศร้าเป็นความอาภัพประการหนึ่ง
 
เราย้อนกลับมาดูทำเลเมืองลั่วหยางหรือลกเอี๋ยงอันเป็นราชธานีอันยาวนานที่สุดในสมัยราชวงศ์ฮั่น
 
เมื่อข้าพเจ้าไปจีน ได้ไปท่องเที่ยวดูลักษณะภูมิประเทศ ของเมืองหลวงเก่าถึง ๓ เมือง ได้แก่ ไคเฟิง ลั่วหยางและซีอาน
 
ในที่นี้จะกล่าวถึงลั่วหยางก่อน
 
ลั่วหยาง มีทำเลที่อ่อนโยน และสวยงาม เป็นเมืองแห่งดอกโบตั๋น เล่ากันว่า ดอกโบตั๋นนี้ ไม่ยอมบานที่ซีอานตามคำสั่งของพระนางบูเช็คเทียน จึงตรัสเนรเทศ ให้มาปลูกไว้ที่เมืองลั่วหยางทั้งหมด
 
ซีอาน เปรียบเสมือน เมืองหยาง หรือเมืองผู้ชาย ดอกไม้ย่อมไม่เบ่งบานหรือดูสวยงามในมือของผู้ชาย แต่จะงดงามเป็นที่สุดในมือของผู้หญิง ฉันใดฉันนั้น ดอกโบตั๋น มาขึ้นชื่อที่สุดที่เมืองลั่วหยาง จนได้รับสมญาว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติ ได้รับเกียรติ หรือนัยหนึ่ง ดวงขึ้นขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เคยดวงตกถึงขนาดถูกเนรเทศมาแล้ว แค่เพียงดอกไม้ ก็เป็นเรื่อง แต่ก็บอกอะไรกับเราได้หลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องทำเลของเมืองลั่วหยางนี้
 
ทางทิศเหนือค่อนไปทางตะวันออกของเมืองลั่วหยาง เป็นเทือกเขาเหมาซาน เป็นเทือกเขาที่ไม่สูงชัน มีเนินอ่อนโยน ดังนั้น เจ้านาย หรือ เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ตลอดจน ผู้มีฐานะ มักจะเลือกที่ลั่วหยาง ทำฮวงซุ้ยหรือสุสานประจำตระกูลของตน
 
แต่น่าเสียดาย จุดที่ตั้งเมืองหลวงนี้ อยู่ปลายเขาเหมาซาน หรือ เป็นจุดที่เสื่อมพลังหยาง หรือที่เรียกเป็นนามธรรมว่า “หางมังกร” ทั้งยังตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเว่ย อันเป็นฝั่งหยิน ลักษณะผังเมือง ก็เป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งถือว่า เหมาะเป็นที่ตั้งศาลเจ้ามากกว่า
 
ดังนั้น ลั่วหยาง จึงเป็นเมืองที่มีสภาวะหยินแรงเป็นที่สุด นี่แหละ ขันทีถึงมีอำนาจมากในแต่ละยุคแต่ละสมัย โดยเฉพาะยุคนี้แหละ ถึงกับแตกแยกออกไปถึงสามก๊กด้วยกัน
 
เรื่องราวของสามก๊ก แม้จะออกน่าเบื่อตอนต้น ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ก็โปรดอย่าเพิ่งวางมือ เพราะในตอนต้น จำเป็นต้องทราบถึงกระแสดวงดาวที่บุคคลสำคัญถือกำเนิดเสียก่อน จะได้ทราบว่า วิถีพยากรณ์ที่เกิดในช่วงนั้นช่วงนี้จะเป็นอย่างไร จะได้เป็นใหญ่เป็นโต หรือปัญญาดี จะร่ำรวย จะลำบาก เผชิญอุปสรรคขนาดไหน ก็ใช้วิธีเช็คสอบดาวใหญ่ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
 
 

สามก๊ก, ขงเบ้ง, เล่าปี่, กวนอู, เตียวหุย, โจโฉ, ซุนกวน, ตั๋งโต๊ะ, ลั่วหยาง

 

ตั๋งโต๊ะ เห็นลักษณะของหองจูเหียบแล้ว รู้ว่ามีลักษณะดี และก็รู้ด้วยว่า จะตกอยู่ใต้อำนาจของตนอย่างแน่นอน

 
หลังจากที่ตั๋งโต๊ะเข้ามาอยู่ในวัง ก็สามารถควบคุมอำนาจทหารได้หมด นานวันอำนาจทั้งปวงก็ตกอยู่กับตั๋งโต๊ะจนหมดสิ้น
 
ฝ่ายสมัครพรรคพวกของอ้วนเสี้ยว ก็พากันปรึกษา นั่งนินทาไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยความวิตกกังวัลเห็นทีจะไม่ทันตั๋งโต๊ะเสียแล้ว ควรที่จะต้องล้างผลาญมันเสียก่อน อ้วนเสี้ยวก็ห้ามไว้ กล่าวว่า ตอนนี้บ้านเมืองเพิ่งจะสงบ ถ้าเราด่วนทำการไป ประชาชนก็จะเดือดร้อน
 

นี่เป็นความลังเลของอ้วนเสี้ยว แต่ก็เป็นข้อดี ที่นึกถึงความเดือดร้อนของประชาชน และช่วงนี้ ก็ได้ทำการรวบรวมสมัครพรรคพวก ที่เป็นของโฮจิ้นมาแต่เดิม