เกร็ดความรู้จากพุทธศาสนา

 

"อนันตลักขณสูตร" บทสวดมนต์แปลของวัดท่าซุง ตอนที่ ๒
10 เม.ย. 2559

 

ตัสมาติหะ ภิกขะเว ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปันนัง

อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา

โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา

หีนัง วา ปะณีตัง วา

ยันทูเร สันติเก วา

สัพพัง รูปัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ

เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง

 

เพราะเหตุนั้นแลภิกษุทั้งหลาย รูป คือร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน รูปภายใน คือร่างกายที่เราอาศัยอยู่ รูปภายนอก คือร่างกายที่ผู้อื่นอาศัยอยู่

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

รูป คือร่างกายทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ และร่างกายนี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเรา

ท่านทั้งหลายพึงเห็นรูปคือร่างกายนี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนั้นเถิด

 

ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา

อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา

โอฬาริกา วา สุขุมา วา

หีนา วา ปะณีตา วา

ยา ทูเร สันติเก วา

สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ

เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง

 

เวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน เวทนาภายใน คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดในใจเรา เวทนาภายนอก คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดในใจผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

เวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ เวทนานี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่เวทนาอย่างนั้นอย่างนี้ และเวทนานี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเรา

ท่านทั้งหลายพึงเห็นเวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนั้นเถิด

 

ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา

อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา

โอฬาริกา วา สุขุมา วา

หีนา วา ปะณีตา วา

ยา ทูเร สันติเก วา

สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ

เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง

 

สัญญา คือความจำอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน สัญญาภายใน คือ ความจำของเรา สัญญาภายนอก คือ ความจำของผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

สัญญา คือ ความจำทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ ความจำนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ความจำอย่างนั้นอย่างนี้ และความจำนี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเรา

ท่านทั้งหลายพึงเห็นสัญญา คือความจำนี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนั้นเถิด

 

เย เกจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา

อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา

โอฬาริกา วา สุขุมา วา

หีนา วา ปะณีตา วา

เย ทูเร สันติเก วา

สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ

เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง

 

สังขาร คือความคิดดีและชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน  สังขารภายใน คือความคิดดีและชั่วในใจเรา  สังขารภายนอก คือความคิดดีและชั่วในใจผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

สังขาร คือความคิดดีและชั่วทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ ความคิดดีและชั่วนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ความคิดดีและชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ และความคิดดีและชั่วนี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเรา

ท่านทั้งหลายพึงเห็นสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนั้นเถิด

 

ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง

อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา

โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา

หีนัง วา ปะณีตัง วา

ยันทูเร สันติเก วา

สัพพัง วิญญาณัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ

เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง

 

วิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน วิญญาณภายใน คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีของเรา วิญญาณภายนอก คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีของผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

วิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆอย่างนั้นอย่างนี้ และความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆนี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเรา

ท่านทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆนี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนั้นเถิด

 

เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุตตะวา อะริยะสาวะโก

รูปัสสะมิงปิ นิพพินทะติ

เวทะนายะปิ นิพพินทะติ

สัญญายะปิ นิพพินทะติ

สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ

วิญญาณัสมิงปิ นิพพินทะติ

 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ยินได้ฟังและพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้แล้ว

ย่อมเบื่อหน่ายในรูป คือร่างกายด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนา คือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในสัญญา คือความจำด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในสังขาร คือความคิดดีและชั่วด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆด้วย

 

นิพพินทัง วิรัชชะติ วิราคา วิมุจจะติ

วิมุตตัสมิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ. วุสิตัง พรัหมะจะริยัง

กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ

 

เมื่ออริยสาวกเหล่านั้น มีความเบื่อหน่ายอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่คิดอยากจะเกาะติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย

เมื่อจิตพ้นจากกิเลส เครื่องรัดรึงใจทั้งหลายแล้ว ก็มีความรู้ทราบแน่ชัดว่า หมดสิ้นความเกิดแล้ว ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปแล้ว เป็นการอยู่ในพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์หมดจดดีแล้ว กิจที่จะต้องทำ คือการตัดกิเลส ก็ได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว กิจอย่างอื่นที่จะต้องทำ เพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสอย่างนี้ ก็ไม่มีอีกแล้ว

 

อิทะมะโวจะ ภะคะวา

อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง

อิมัสสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน

ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ

 

ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมอันชี้ชัดให้เห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของมิใช่ตัวตนของเราหรือของใครๆอย่างนี้แล้ว

พระภิกษุปัญจวัคคีเหล่านั้น ก็มีความเพลิดเพลินยินดี ในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วนั้น

ก็ในขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวแสดงความละเอียดพิสดารของธรรมอันชี้ชัดให้เห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของมิใช่ตัวตนของเราหรือของใครๆอยู่นั่นแล

จิตของพระภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ก็หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย ไม่คิดอยากเกาะติดอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อีกต่อไปแล