บทความพิเศษ

 

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๖๘/๑ - โจผี
4 ก.พ. 2562

 

พระมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้คือโจโฉได้เป็นตําแหน่งสูงสุดคือวุยอ๋อง แต่โจโฉมีคุณความดีอยู่อย่างที่ไม่ได้ตั้งตนปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้  วุยอ๋องถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคในสมอง อายุได้ ๖๖ ปี โดนผีกวนอูหลอกหลอน

 

ก่อนตายได้สั่งเสียภรรยาทั้งปวงเป็นเนื้อความว่า ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ฝึกฝนการเย็บการปัก การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จะได้เลี้ยงตัวเมื่อภายหลัง พวกท่านจงพากันไปอยู่ในปราสาทนกยูงทองแดงที่เมืองเงียบกุ๋น จะได้เป็นเป็นเพื่อนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อสิ้นเราแล้ว ให้เซ่นวักพลีกรรมประกอบด้วยมโหรีปี่พาทย์ทุกวัน ท่านทั้งหลายจงสั่งขุนนางให้ก่อสุสานฝังศพเราที่เทือกเขานอกเมืองเงียบกุ๋นให้ได้ ๗๒ สุสาน อย่าให้คนทั้งปวงรู้ว่าศพเราฝังอยู่สุสานใด เพราะมีคนชังตัวเรามากอยู่ เผื่อคนชังจะขุดศพเราขึ้นมาทำลาย

 

ขณะที่โจโฉตายลงนั้น ลูกชายทั้ง ๔ คน ต่างก็ไปอยู่ตามหัวเมืองทั้งหมด โจผีอยู่เมืองเงียบกุ๋น โจเจียงอยู่เมืองเตียงอัน โจสิดอยู่เมืองลิมฉี โจหิมอยู่เมืองเซียวหวย ขุนนางผู้ใหญ่ก็ให้เชิญเข้ามาทําศพบิดา โจผีมาถึงก่อนก็เชิญศพบิดาไปที่เมืองเงียบกุ๋นอันที่ตั้งของพระราชวัง แล้วให้ขุนนางและราษฎรทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาว โพกผ้าขาวตามแบบธรรมเนียม แล้วก็พากันร้องไห้อื้ออึงไป

 

ตันเกียว ขุนนางผู้ใหญ่ ประกาศว่าควรจะยกโจผีขึ้นเป็นเจ้าวุยอ๋องแทนบิดา ถ้าใครขัดขวางจะตัดศีรษะเสีย พอดีฮัวหิมคนสนิทของโจโฉที่ไปรับราชการที่เมืองหลวง อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้นําพระบรมราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่งตั้งโจผีเป็นวุยอ๋องแทนบิดา มาถึงพอดี จึงไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน

 

เมื่อโจผีได้เป็นเจ้าแล้ว ก็มีการเลี้ยงฉลองตําแหน่งกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ระหว่างที่เลี้ยงกันอยู่นั้น ทหารเข้ามารายงานว่า โจเจียงน้องคนรอง ยกทัพใหญ่มีทหารประมาณ ๑๐ หมื่นมาถึง ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ เกียกุย มีความคุ้นเคยกับโจเจียง จึงรับอาสาออกไปเจรจา

 

โจเจียงถามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้แต่งตั้งผู้ใดว่าราชการแทนบิดา เกียกุยบอกว่า ตามประเพณีโบราณ ลูกชายคนโตจะต้องได้รับการแต่งตั้ง แล้วก็ย้อนถามว่า ท่านยกทหารมามากมาย จะมาชิงความเป็นวุยอ๋องหรืออย่างไร โจเจียงก็บอกมาช่วยงานศพบิดาหรอก แล้วให้ทหารรออยู่ข้างนอกแล้วตนเองก็ไปหาพี่ชาย โจผีก็ต้อนรับเป็นอันดี ต่างก็กอดคอกันร้องไห้

 

เมื่อสางโศรกแล้ว โจเจียงกล่าวว่า ข้าพเจ้ายกทหารมามาก เป็นความผิดนัก เกรงว่าพี่ชายจะระแวง จึงขอยกทหารที่นํามาด้วยยกให้กับพี่ชายเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งสิ้น เมื่อคำนับศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ก็ลากลับไปเมืองเอียนเหลงตามเดิม เมืองเอียนเหลงเป็นเมืองหน้าด่าน โจผีก็ตกแต่งเครื่องอุปโภคและบริโภคให้น้องชายไป เหมือนกับเครึ่องราชูปโภคจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ทุกประการ

 

โจผีตั้งให้ฮัวหิมเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา ให้กาเซี่ยงเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย อองลองเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ บรรดาขุนนางทั้งปวงนั้นให้เลื่อนตำแหน่งตามสมควร แล้วจึงทำพิธีเคลื่อนศพบิดาไปฝังในสุสานที่เทือกเขานอกเมืองเงียบกุ๋น ซึ่งเป็นสุสาน ๑ ใน ๗๒ สุสานตามที่โจโฉสั่งไว้ทุกประการ แล้วจารึกอักษรไว้ที่หน้าสุสานนั้นว่าเป็นที่ฝังศพของเจ้าวุยอ๋อง ครั้งฝังศพเสร็จแล้ว โจผีได้สั่งประหารบรรดาผู้คนที่เอาศพโจโฉไปฝังเสียทั้งหมด เพื่อมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าฝังศพโจโฉไว้ที่สุสานใด

 

ต่อมาฮัวหิมบอกกับโจผีว่าโจเจียงน้องคนรองมาเคารพศพบิดาแล้ว แต่โจสิดกับโจหิมไม่เห็นมา สมควรสั่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่คุมทหารไปลงอาญาแก่น้องทั้งสอง โจหิมรู้ข่าวก็ตกใจกลัว เลยหนีไปผูกคอตาย โจผีจึงสั่งฝั่งศพแล้วจารึกหน้าสุสานว่า ที่ฝังศพเจ้าเมืองเซียวหวย

 

ส่วนโจสิดนั้นไม่กลัว คงนั่งดื่มสุรารออยู่กับลิ่วล้อคนสนิท พอทหารที่ถือตรารับสั่งของโจผีไปถึง ก็สั่งทหารเอาตะบองไล่ตีจนวิ่งหนีกระเจิงไป โจผีรู้เรื่องก็ให้เคาทูทหารเอก คุมทหาร ๓ พันไปจับน้องชาย ทหารที่รักษาเมืองลิมฉีพยายามขัดขวางเคาทู แต่ก็โดนฆ่าเสียโดยง่ายดาย แล้วเคาทูก็คุมทหารเข้าไปถึงที่พัก เห็นโจสิดและสองลิ่วล้อเมาสุราอยู่ ก็เลยจับมัดรวมทั้งบุตรและภรรยาพาไปเข้าเฝ้า โจผีก็ให้เอาลิ่วล้อทั้งสองไปฆ่าเสียก่อน ส่วนโจสิด บุตรและภรรยาให้จําคุกไว้

 

นางเปียนซีมารดาทราบข่าวก็รีบไปหาโจผี อ้อนวอนขอโทษแทนลูกชายคนที่ ๓ บอกว่าโจหิมก็ผูกคอตายไปแล้ว โจสิดชอบเสพสุรา ชอบอวดดี แต่ก็ไม่ได้แย่งชิงอะไรกับโจผี ให้เห็นแก่มารดาเถิด อย่าฆ่ากันเลย โจผีตอบว่าน้องคนนี้ฉลาด ข้าพเจ้าก็รักอยู่ ทําโทษครั้งนี้เพื่อให้หลาบจํา อย่าได้กระทําความชั่วสืบไป ข้าพเจ้าไม่ฆ่าหรอก แม่อย่ากังวลไปเลย นางเปียนชีก็สบายใจ กลับไปที่อยู่