ฮวงจุ้ยพื้นฐาน

 

กลวิธีของความเป็นมังกร ตอนที่ ๑
26 มี.ค. 2560

 

ในการทำทำเลต่างๆ เรามักเน้นเสมอในเรื่องของความเป็นมังกรของสถานที่ โดยการตรวจเช็คทำเลให้สอดคล้องกับดวงชะตาของเจ้าของกิจการ หรือผู้มีรายได้สูงสุดในบ้าน หลังจากปรับแต่งทำเลให้สอดคล้องกับอำนาจของตัวบุคคล หรือเสริมสร้างตัวบุคคลให้มีอำนาจประดุจเป็นมังกรแล้ว ตัวบุคคลก็ต้องมีความสามารถพอกับทำเลที่เข้มแข็งนั้น เปรียบเสมือนเราจะต้องเป็นคนที่เข้มแข็งพอที่จะขี่มังกรนั้นได้
 
เรื่องราวของสามก๊กตอนนี้ เป็นตอนหนึ่งที่แสดงถึงอุบายของบุคคลที่เป็น มังกรคนหนึ่ง แต่มีความสามารซ่อนความเป็นมังกรของตนเอง ทั้งไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวตนของตนเอง แถมยังนำบุคลิกที่ดูเหมือนอ่อนของตนออกมาเป็นปมเด่นในการซ่อนเล็บของตนเอง
 
ในครั้งนั้น เล่าปี่คบคิดกับตังสินและพวก คิดจะล้มล้างโจโฉ แต่ยังไม่ทันดำเนินการสิ่งใด ครั้นจะทำการสิ่งใดก็กลัวโจโฉจะไม่ไว้วางใจ จึงแกล้งทำการถ่อมตัว เอาไม้ไปทำรั้ว ทำสวน ปลูกผักเอง ทำทีเป็นสมถะ ฝ่าย กวนอู เตียวหุย มองพี่ร่วมสาบานไม่ออก กล่าวแก่เล่าปี่เชิงตำหนิว่า “การซึ่งควรจะคิด เหตุใดจึงไม่คิด และที่มาทำการเยี่ยงคนหาตระกูลไม่ได้ดังนี้ จะประสงค์สิ่งใด” เล่าปี่จึงตอบว่า “เจ้าทั้งสองมิรู้ความคิดพี่ อย่าให้วุ่นวายไปเลย” กวนอู เตียวหุย ก็ได้แต่นิ่งอยู่
 
แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้น วันนั้น กวนอู เตียวหุย ไม่ได้อยู่บ้าน
 
เคาทู กับ เตียวเลี้ยว ทหารเสือของโจโฉ คุมทหาร ๒๐ คนมาที่บ้านเล่าปี่ แล้วบอกว่า “มหาอุปราชให้มาเชิญท่านไป”
 
เล่าปี่ก็ตกใจด้วยคิดว่า โจโฉรู้ความที่ตนจะคิดร้ายต่อโจโฉ ถามว่า “มหาอุปราชให้มาหาเรา จะว่าเนื้อความสิ่งใด”
 
เคาทู จึงว่า “มหาอุปราชจะมีธุระสิ่งใด ข้าพเจ้าไม่ได้แจ้ง แต่ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไป”
 
เล่าปี่ขัดไม่ได้ ก็จำยอมไปกับเคาทู เตียวเลี้ยว และทันทีที่พบโจโฉ โจโฉก็ทักทายเล่าปี่ด้วยถ้อยคำอันทำให้เล่าปี่ถึงกับอึ้งไป “ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ทำการใหญ่หลวงนัก”
 
เล่าปี่ได้ยินโจโฉกล่าวดังนั้น นึกว่าโจโฉทราบหมดแล้วที่ตนสมคบคิดกับตังสินจะกำจัดโจโฉ ก็ตกใจนิ่งอยู่ ไม่รู้จะตอบอย่างไร
 
แต่ความจริง โจโฉยังไม่ระแคะระคาย เพียงแต่ตั้งใจล้อเล่น ทำนองหยอกไก่เล่น แล้วก็จูงมือเล่าปี่พาไปที่สวนหลังบ้าน แล้วว่า “ท่านอยู่บ้านคิดอ่านทำสวนปลูกผักให้เหมือนสวนของเราหรือนี่" ทำนองว่า จะริอ่านทำสวนให้เหมือนอุทยานของมหาอุปราชหรืออย่างไร
 
เล่าปี่ได้ฟังก็โล่งใจ แล้วทั้งสองก็ตั้งโต๊ะเสพสุรากันตามธรรมเนียม และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า เป็นนิมิต เพราะขณะที่กำลังเสพสุรากันนั้น เกิดเหตุพายุหนัก มืดฟ้ามัวฝน และทหารทั้งปวงก็พากันร้องว่า มังกรสำแดงฤทธิ์บนอากาศจึงพายุหนักดังนี้ โจโฉกับเล่าปี่ก็เงยหน้าดู เห็นเมฆมืดมัวไปทั้งอากาศ เล่าปี่กับโจโฉก็รู้ว่ามังกรสำแดงฤทธิ์ โจโฉก็แสดงอาการนิ่งคิดอยู่ เล่าปี่จึงถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่า มังกรสำแดงฤทธิ์ จึงเกิดเมฆมืดดังนี้ และมังกรนั้นมีฤทธิ์เพียงใด"
 
โจโฉก็ตอบว่า อันว่ามังกรสำแดงฤทธิ์นั้น จะทำให้ใหญ่และน้อยเท่าใดก็ได้ และด้วยเหตุที่เทศกาลนี้เป็นฤดูฝน มังกรจึงสำแดงฤทธิ์ อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง ถ้าจะทำการใดคะเนการตามสมควร แม้เห็นว่าการใหญ่ก็ทำให้ใหญ่ ประมาณการน้อยก็ทำให้น้อย แล้วก็ย้อนถามเล่าปี่ “ทุกวันนี้ ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์ฉะนี้บ้าง ท่านจงบรรยายให้แจ้ง”
 
เล่าปี่ก็แกล้งตอบว่า “อันข้าพเจ้าหาสติปัญญามิได้ ซึ่งได้เป็นขุนนางมีคนนับถือนี้ ก็เพราะบุญของอุปราชช่วยทูลเสนอให้ ข้าพเจ้าจึงมีความสุข ซึ่งผู้ใดจะมีสติปัญญากว้างขว้างเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์นั้น ปัญญาข้าพเจ้าคิดไม่ถึง”
 
โจโฉ ถามต่อว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่มีสติปัญญาคิดไปไม่เห็นตลอด ก็ย่อมได้ยินคำเลื่องลือ และรู้จักชื่อว่าผู้ใดมีสติปัญญาบ้าง”
 
คราวนี้ เล่าปี่ จำต้องแสดงความคิดเห็นของตน โดยแกล้งเอ่ยถึงอ้วนสุด อ้วนเสี้ยว เล่าเปียว ซุนเซ็ก เล่าเจี้ยง เตียวสิ้ว เตียวฬ่อ หันซุย เรียงมาเป็นตับ เรียกได้ว่า กวาดนามคนสำคัญที่โจโฉรู้จักออกมาจนหมด ซึ่งโจโฉก็ปฏิเสธหมด และยังขยายความคิดของตนต่อไปว่า
 
“อันผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดสิ่งใด ก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนบุคคลกลืนแก้วเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใด ถึงเวลาค่ำมืด แสงก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าจะคิดการสิ่งใดก็รู้จักทีหนักทีเบา ยักย้ายถ่ายเท มิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง จึงจะนับว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง”
 
เล่าปี่ ก็ยังหลีกเลี่ยงต่อไปอีก แกล้งตอบว่า “ทุกวันนี้ จะหาผู้มีสติปัญญาเหมือนมหาอุปราชว่านั้นขัดสนนัก”
 
คราวนี้ โจโฉเลิกอ้อมค้อม ถามออกไปตรงๆ เลยว่า “ทุกวันนี้ เราเล็งดูผู้มีสติปัญญานั้นสิ้นแล้ว มีอยู่แต่ท่านกับเราสองคนเท่านั้น”
 
เล่าปี่ถึงกับสะดุ้ง เพราะนึกไม่ถึงว่าจะถูกตีเอาตรงๆ แบบนี้ ถึงกับตะเกียบพลัดหล่นจากมือ ตอนนั้นเคราะห์ดี ได้จังหวะได้ยินเสียงฟ้าร้อง เล่าปี่มีทีท่าตกใจ เอามือปิดหูไว้
 
โจโฉเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า “เกิดมาเป็นชาย เหตุใดจึงกลัวเสียงฟ้า” เล่าปี่จึงตอบว่า “โบราณท่านว่า ถ้าฟ้าคะนองให้ระวังให้จงหนัก”
 
เมื่อเล่าปี่กลบเกลื่อนแสดงตนว่ากลัวฟ้า โจโฉก็เชื่อสนิทมิได้คิดระแวงว่า เล่าปี่จะคิดการใหญ่อีกต่อไป นึกว่าเล่าปี่นั้นขี้ขลาด จะคิดการใหญ่ไปไม่เป็นอันขาด ซึ่งเล่าปี่ก็รอดหูรอดตาโจโฉจนตั้งตัวได้ แถมยังเป็นก๊กที่ปราบยากที่สุด มีอำนาจเสมอด้วยโจโฉ ทำสงครามขับเคี่ยวต่อมาอีกนานแสนนาน
 
เป็นอันว่า วันนั้นฟ้าเป็นใจให้เล่าปี่ มังกรแสดงฤทธิ์ที่แท้จริงก็คือเล่าปี่ หรืออีกนัยหนึ่ง เล่าปี่มีไหวพริบปฏิภาณดี ที่เอาสถานการณ์ตอนนั้นเป็นประโยชน์ฝ่ายตน เท่ากับเป็นผู้รู้จักทีหนักทีเบา ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง
 
ย้อนกลับมาถึงหลักของเราที่ว่า “ฟ้าประทาน ดินบันดาล ประสานบุคคล” ฟ้าประทาน ดวงชะตาของเล่าปี่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ดินบันดาล ให้ได้เสฉวนโดยตั้งหลักที่เกงจิ๋ว แต่ต้องประสานบุคคลที่ต้องรู้หลักทีหนีทีไล่ มีไหวพริบ รู้กาลเทศะ และรู้จักยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ เล่าปี่จึงเป็นมังกรที่แท้จริง
 
การนำตอนนี้ของสามก๊กมา ไม่ได้หมายความว่าให้เลียนแบบ เล่าปี่ ที่ซ่อนคมไว้ แต่อยากให้เรียนรู้หลักการของเล่าปี่ ซึ่งโดยพื้นนิสัยของเล่าปี่ จะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ทางเลือกของเล่าปี่ทุกครั้ง จะออกมาในลักษณะของความอ่อนน้อมถ่อมตน เจรจาสุภาพ ไม่วู่วาม เจรจาโดยใช้ความคิด ไม่เสแสร้งแกล้งดัด และไม่มีอาการข่มคนหรือแสดงว่าตนเป็นคนเก่ง
 
ด้วยคุณสมบัติและคุณลักษณะของเล่าปี่ จึงเป็นที่รักของคนทั่วไป แม้ขนาดผู้ที่ได้ชื่อว่าหวาดระแวงที่สุดอย่างโจโฉ ถึงขนาดมีสมญานามว่า "ยอมทรยศต่อคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้คนหักหลังแม้แต่คนเดียว" ยังมีใจไม่คิดระแวงเล่าปี่ได้ เล่าปี่สามารถตั้งตนเป็นใหญ่ได้ ทั้งที่ขาดแคนทุนทรัพย์และแผ่นดิน เปรียบเสมือนเริ่มต้นจากศูนย์ เหมือนเราท่านทุกวันนี้
 
บางที การที่เราเรียนรู้พงศาวดาร ทำให้เราสามารถเก็บเอาคุณสมบัติบางประการของผู้ที่เป็นใหญ่มาไว้กับตัวเรา บางทีเราอาจต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนเล่าปี่ ฉลาดรอบรู้เหมือนขงเบ้ง ประสบผลสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยเหมือนจิวยี่ เข้มแข็งไม่ท้อถอย มองการณ์ไกลเหมือนโจโฉ และยิ่งได้ทำเลแข็งเหมือนซุนกวน น่ากลัว เราจะเป็นอีกก๊กหนึ่งที่เข้มแข็งแน่นอน
 
สามก๊ก, ขงเบ้ง, เล่าปี่, กวนอู, เตียวหุย, โจโฉ, ซุนกวน